fieldjournalid
![]() | วิทยานิพนธ์ (MET) 2014 |
1. | การประมาณค่าความพรุนในอะลูมิเนียมอัลลอยด์หล่อ ด้วยเทคนิคการประมวลผลภาพ [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : อดุลย์วิทย์ วรรณรัตน์ | ||
วัตถุประสงค์หลักของงานวิจัยนี้ คือการศึกษาและพัฒนาวิธีการประมาณค่าความพรุนในอะลูมิเนียมอัลลอยด์หล่อ ด้วยเทคนิคการประมวลผลภาพ ซึ่งถือว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจเมื่อเปรียบเทียบกับการตรวจสอบที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น BET Surface Area Analyzer, Scanning Electron Microscope หรือ Liquid penetrant testing ซึ่งจะสามารถลดต้นทุนการลงทุนซื้อเครื่องทดสอบที่มีราคาแพง ลดระยะเวลาในการตรวจสอบ และเป็นการทดสอบแบบไม่ทำลายชิ้นงาน โดยสามารถแบ่งขั้นตอนการวิจัย ออกเป็น 4 ขั้นตอน คือ 1. ขั้นตอนการเตรียมชิ้นงาน เป็นขั้นตอนของการเตรียมพื้นผิวของชิ้นงานก่อนนำไปถ่ายภาพด้วยกล้องจุลทรรศน์ 2. ขั้นตอนการพัฒนาซอฟแวร์ประมาณค่าความพรุน เป็นการนำเอาภาพต้นแบบมาทำการปรับปรุง โดยใช้เทคนิคด้านการประมวลผลภาพต่างๆ โดยมีการพัฒนา GUI (Graphic User Interface) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้น 3. ขั้นตอนการทวนสอบผลการทดลอง เป็นการประเมินประสิทธิภาพของซอฟแวร์ด้วยการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของความพรุนกับเทคนิคการประมวลผลภาพจากเครื่องทดสอบที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน 4. ขั้นตอนการหาความสัมพันธ์ตัวแปรต่างๆและธาตุผสมทางเคมี เพื่อกาหนดค่าพารามิเตอร์ (K) ที่ใช้ในการเทคนิคการประมวลผลภาพด้วยรูปร่างลักษณะ (Morphology) ที่สามารถใช้ได้กับทุกเกรดของอะลูมิเนียมอัลลอยด์ที่มีธาตุผสมที่แตกต่างกัน
จากผลการทวนสอบของซอฟแวร์ประมาณค่าความพรุนในอะลูมิเนียมอัลลอยด์หล่อ เมื่อเปรียบเทียบกับซอฟแวร์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน พบว่ามีค่าความผิดพลาดน้อยกว่า 10% ซึ่งถืออยู่ภายใต้เกณฑ์ที่ยอมรับได้ นอกจากนี้จากการหาความสัมพันธ์ระหว่างค่าพารามิเตอร์ (K) กับธาตุผสมทางเคมีในแต่ละเกรดของอะลูมิเนียมอัลลอยด์ พบว่าธาตุอะลูมิเนียมและธาตุซิลิกอนมีคว
Full Text : Download! |
||
2. | การออกแบบหอผึ่งลมเย็นเพื่อการระบายความร้อนออกจากเครื่องเป่าขึ้นรูปขวดพลาสติก [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : บรรจง เยาว์ธานี | ||
งานวิจัยนี้มุ่งเน้นการพัฒนาหอผึ่งลมเย็นขนาดเล็กที่เหมาะสมกับภาระความร้อนของระบบน้ำมันไฮดรอลิคของเครื่องเป่าขึ้นรูปขวดพลาสติก น้ำหล่อเย็นได้ไหลเวียนมาแลกเปลี่ยนความร้อนกับน้ำมันไฮดรอลิคที่เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน จากนั้นไหลไประบายความร้อนโดยผ่านหัวสเปรย์ลงสู่อ่างน้ำ การทดสอบได้ปรับเปลี่ยนค่าอัตราการไหลของน้ำ 5 ค่า (0.5, 1.0, 1.5, 2.0, และ 2.5 kg/s) และขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางรูเจาะที่หัวสเปรย์ 3 ค่า (2.5, 3.0, และ 3.5 mm) รวมเป็น 15 การทดลอง แต่ละการทดลองใช้เวลา 24 ชั่วโมง ค่าจากการวัดอุณหภูมิน้ำ น้ำมัน และอากาศ ถูกบันทึกทุกๆ 5 นาที โดยผลการวิเคราะห์สมรรถนะหอผึ่งลมเย็น อาทิ ค่าช่วง (Range) ค่าประสิทธิผล (Effectiveness) และประสิทธิภาพ (Efficiency) แสดงว่าหอผึ่งลมเย็นที่มี ขนาดรูเจาะที่หัวสเปรย์น้ำ 2.5 mm และอัตราการไหลของน้ำ 0.5 kg/s ให้ค่าช่วง และค่าประสิทธิผลที่ดีที่สุด และประหยัดพลังงานไฟฟ้าที่จ่ายปั๊ม โดยอุณหภูมิน้ำมันไฮดรอลิคในระบบสูงสุดเพียง 41 ºC ซึ่งไม่เกิน 50 oC ที่ค่าอุณหภูมิวิกฤตที่จะทำให้ระบบเครื่องเป่าขึ้นรูปขวดพลาสติกต้องหยุดทำงาน
ทางด้านทฤษฎีได้มีการนำโครงข่ายประสาทเทียม ANN เพื่อจำลองระบบหอผึ่งลมเย็น โดยใช้ข้อมูลจากการทดลองมาสอนด้วยเทคนิคแบบแพร่ย้อนกลับ และทดสอบด้วยข้อมูลอีกชุด จนกระทั่งได้โครงสร้างของ ANN ที่เหมาะสมที่สุด ประกอบด้วย อินพุทเลเยอร์-ฮิดเด้นเลเยอร์-เอาท์พุทเลเยอร์ 5-40-1 จนสามารถทำนายอุณหภูมิน้ำเย็นที่ทางออกได้อย่างแม่นยำสูงในระดับ MSE = 0.0968 และ R2 = 0.9992 และใช้โครงสร้างแบบเดียวกันในการทำนายอุณหภูมิน้ำมันไฮดรอลิคที่กลับสู่เครื่องจักร ได้ระดับความแม่นยำ MSE = 0.1155 และ R2 = 0.8946 นอกจากนี้ยังใช้โครงข่ายประสาทเทียมแบบ NARX 1 ฮิดเดนเลเยอร์ เพื่อ
Full Text : Download! |
||
3. | การพัฒนารูปแบบสำหรับการประมาณค่าผลผลิตหญ้าเนเปียร์ในประเทศไทย [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : ชรัมย์ เพียรชุรัตน์ | ||
ในการศึกษาครั้งนี้ได้ทำการพัฒนารูปแบบสำหรับการประมาณค่าผลผลิตหญ้าเนเปียร์ใน
ประเทศไทยโดยทำการวิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อปริมาณผลผลิตใน 9 ปัจจัยคือ ปัจจัยด้าน
เนื้อดินความอุดมสมบูรณ์ของดิน ปฏิกิริยาดิน การระบายน้ำ ปริมาณน้ำฝน ชลประทาน ปริมาณปุ๋ย
ระยะตัด ระยะปลูก โดยทำการวิเคราะห์ข้อมูลในสองโมเดล คือ 1. วิเคราะห์คุณภาพที่ดินโดยการ
ประยุกต์ใช้หลักการ FAO (1983) 2. วิเคราะห์ข้อมูลตามหลักการทางสถิติในเชิงปริมาณ ซึ่งใช้
เครื่องมือการวิเคราะห์การถดถอย (Regression Analysis) โดยทำการวิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยที่มี
อิทธิพลต่อผลผลิตตามศักยภาพพื้นที่ดั้งเดิม และปัจจัยที่เกิดจากการกระทำของเกษตรกร
จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อปริมาณผลผลิตตามศักยภาพพื้นที่ดั้งเดิม
พบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลผลิตมากที่สุดประกอบด้วย ปฏิกิริยาดิน(pH)การระบายน้ำ (DN) ความ
อุดมสมบูรณ์ของดิน (SF) ปริมาณน้ำฝน (RF) ตามลำดับซึ่งร่วมกันพยากรณ์ปริมาณผลผลิตได้ร้อยละ
70.3% (Sig<0.05) และเมื่อพิจารณาโดยรวมปัจจัยที่เกิดจากการกระทำของเกษตรกร พบว่าปัจจัยที่
มีอิทธิพลต่อปริมาณผลผลิต มากที่สุดได้แก่การระบายน้ำ (DN) ปฏิกิริยาดิน (pH) ความอุดมสมบูรณ์
ของดิน (SF) ปริมาณปุ๋ย (FT) ระยะตัด (CT) ชลประทาน (IR) ระยะปลูก (PS) ตามลำดับ ซึ่งร่วมกัน
พยากรณ์ปริมาณผลผลิตได้ร้อยละ 79.1% (Sig<0.05) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อปริมาณผลผลิตในทิศ
ทางบวก คือ ปฏิกิริยาดิน (pH) ความอุดมสมบูรณ์ของดิน (SF) ปริมาณปุ๋ย (FT) ชลประทาน (IR)
และระยะปลูก (PS) มีค่าสัมประสิทธิ์การถดถอย (Beta) เท่ากับ 0.367, 0.338, 0.273, 0.194, และ
0.130 ตามลำดับ ส่วนปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อปริมาณผลผลิตในทิศทางลบ คือ การระบายน้ำ (DN) และ
ระยะตัด (
Full Text : Download! |
||
4. | A REAL-TIME MONITORING OF A CLOSED-LOOP WATER COOLING SYSTEM USING A WIRELESS ACOUSTIC EMISSION SENSOR [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : Chavadol Mekchar | ||
This thesis proposes a real-time monitoring of a closed-loop water cooling
system using a wireless acoustic emission sensor. The proposed system comprises
four major components, i.e. a preamplifier, a microcontroller-based analog-to-digital
converter, wireless transmission modules and a graphic user interface. The
preamplifier is implemented using BiMOS operational amplifier model CA3140
which provides high input impedance and high speed performance. The signal is
subsequently digitized by STM32F4 microcontroller and transmits to the personal
computer wirelessly via wireless transmission modules using XBee. The experiments
show that the proposed system offers a cost-effective data acquisition system for an
AE sensor to monitor a closed-loop water cooling system which can overcome the
limitation on a long distance operation in order to utilize in the real world
applications.
Full Text : Download! |
||
5. | ผลกระทบของสภาวะการตัดเฉือนที่มีผลต่อความเรียบของผิวงานกลึงอลูมิเนียม เกรด 6063 [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : ชูคิด งามวงศ์ | ||
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาวะการตัดเฉือนที่เหมาะสมในการกลึงปอกอลูมิเนียมที่ได้ค่าความเรียบของผิว (Ra) ด้วยเครื่องกลึงอัตโนมัติ สำหรับนำไปใช้ทำชิ้นส่วนอุปกรณ์ในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และเครื่องจักรที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องโดย ปัจจัยที่ทำการศึกษา คือ ความเร็วตัด อัตราป้อน ความลึกในการตัด ที่ให้ค่าความเรียบของผิวชิ้นงาน (Ra) การทดลองนี้ใช้ความเร็วตัด ที่ 60 - 120 เมตรต่อนาที อัตราป้อน ที่ 0.1 - 0.4 มิลลิเมตรต่อรอบ ความลึกในการ ที่ 0.5- 1.5 มิลลิเมตร จากนั้นทำการวัดค่าความเรียบของผิวชิ้นงาน เพื่อนำไปวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ของเงื่อนไขที่ต้องการ
จากการวิเคราะห์ผลการทดลองพบว่าในการการกลึงปอกอลูมิเนียม อัตราป้อนมีดมีผลต่อค่าความเรียบของผิวชิ้นงาน จากนั้นทำการออกแบบการทดลองเพิ่มเติมโดยใช้เงื่อนไขของการกลึงที่ละเอียดขึ้น คือ ใช้อัตราป้อนมีด และความเร็วตัด มาวิเคราะห์การถดถอย ซึ่งกำหนดอัตราป้อนมีดที่ 0.1 - 0.4 มิลลิเมตรต่อนาที ความเร็วตัดที่ 60 - 120 เมตรต่อนาที และกำหนดความลึกในการตัดที่ 0.5 มิลลิเมตร เพื่อกำหนดจากผลการวิเคราะห์สภาวะการตัดเฉือน
Full Text : Download! |
||
6. | THE APPLICATION OF CHAOS THEORY TO ECONOMICS AND ORGANIZATION MANAGEMENTS [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : Jeerana Noymanee | ||
The typical logistic map has been utilized in a variety of applications such as
in biological modeling and secure communications. Nonetheless, such a typical
logistic map has only a single control parameter that sets all dynamic behaviors. This
paper therefore introduces a new arbitrary power in the quadratic term in order to
control stability of the system. The addition arbitrary power subsequently increases
the degree of freedom of the logistic map and provides versatile responses as well as
the flexibility of the system. Dynamic properties are described in terms of Cobweb
plots, bifurcations, Lyapunov exponents, and chaotic waveforms in time domain.
Experimental results utilize the Ardino microcontroller to generate chaotic waveforms
with a relatively flat spectrum in frequency domain. The experimental results is to
understand behaviors of the impact of Chaos theory to organization management and
how basic and practice of management, as well as the role of managers and
management guidelines for engaging in the practice of organization management. A
current view of management theory stresses the changing nature of the external
environment and the need to understand and address these external forces for change.
Participation and the role of systems theory and the theory of organization to
organization management process focused
Full Text : Download! |
||
7. | อัลกอริทึมสำหรับปัญหาการจัดการเส้นทางการเดินรถของพนักงานขายของแบบไม่สมมาตร [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : จุฑาทิพย์ พุธพ้นภัย | ||
งานวิจัยนี้ศึกษาการจัดการเส้นทางการเดินรถ จากการศึกษาพบว่าระยะทางจากเมืองใด
เมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง อาจมีระยะทางไป-กลับไม่เท่ากัน อีกทั้งจำนวนเมืองมากมีผลต่อการ
จัดหาเส้นทางเดินทาง ผู้วิจัยจึงนำปัจจัยต่างๆมาประกอบการศึกษาการจัดเส้นทางเดินรถ ให้เดินทาง
จากเมืองหนึ่งไปยังทุกเมืองให้ได้ทั้งหมดด้วยระยะทางที่สั้นที่สุด การศึกษาวิจัยครั้งนี้ได้ศึกษาวิธีการ
หาคำตอบด้วยวิธีการ Deterministic Algorithm, Stochastic Algorithm และ Local Search
algorithm แบบ SWAP และ INSERT มาประกอบการจัดการเส้นทางเพื่อใช้ในการปรับปรุงผลลัพธ์
ของระยะทางรวม ผลจากการคำนวณแสดงให้เห็นถึงการลดลงของระยะทางรวมของเส้นทางการเดิน
ในแต่ขั้นตอน พร้อมกับพิจารณาเปรียบเทียบระยะทางรวมของวิธีการในงานวิจัยในแต่ละขั้นตอน
Full Text : Download! |
||
8. | การสร้างแบบจำลองเชิงตัวเลขของการกระจายของความเค้นดึงบนแผ่นวัสดุเลี้ยงเซลล์ [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : กิตตินันท์ โศจิศุกร | ||
ในการวิจัยต่างๆก่อนหน้านี้ที่ได้ทำการศึกษาถึงผลของการให้แรงทางกล อาทิเช่น แรงอัดแรงดึง หรือแรงเฉือน แก่เซลล์พบว่ามีผลกระทบต่อการเจริญเติบโต การซ่อมแซม และการพัฒนาของเซลล์นั้นๆ ซึ่งในการวิจัยนั้นไม่สามารถที่จะให้แรงกระทำกับเซลล์ได้โดยตรง แต่จำเป็นต้องส่งผ่านทางตัวกลาง ในงานวิจัยนี้ได้เลือกใช้ตัวกลางเป็นเมมเบรนที่สังเคราะห์ขึ้นจาก 2,4,6,8-Tetramethyl-2,4,6,8-tetravinyl-cyclotetrasiloxane สำหรับเลี้ยงเซลล์และส่งผ่านแรงดึงไปยังเซลล์ที่ถูกเลี้ยงอยู่บนผิวของเมมเบรน ซึ่งการกระจายตัวของแรงที่ส่งผ่านภายในตัวกลางนั้นมีความไม่สม่ำเสมอกันทั่วทั้งชิ้นงาน จึงส่งผลให้การส่งผ่านแรงไปยังเซลล์นั้นมีความไม่สม่ำเสมอกัน จึงอาจส่งผลต่อผลการทดลองที่เกิดขึ้น
สำหรับวัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้คือการศึกษาการกระจายตัวของความเค้นบนพื้นผิวของเมมเบรนเมื่อได้รับแรงดึง โดยการสร้างแบบจำลองด้วยโปรแกรม ANSYS และใช้ระเบียบวิธีไฟไนต์เอลิเมนต์ (Finite Element Analysis) ช่วยในการคำนวณ ซึ่งผลการทดลองที่ได้นั้นจะช่วยให้สามารถเข้าใจแนวโน้มการกระจายตัวในบริเวณต่างๆบนพื้นผิวของเมนเบรนและสามารถเลือกขอบเขตบริเวณบนพื้นผิวของเมมเบรนที่ใช้สำหรับเลี้ยงเซลล์ได้อย่างถูกต้องเพื่อที่จะทำให้เซลล์ได้รับแรงที่ส่งผ่านตัวกลางในปริมาณที่เท่ากันในทุกๆส่วน
Full Text : Download! |
||
9. | A-GIS BASED POTENTIAL EVALUATION OF NAPIER GRASS PLANTATION IN THAILAND [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : Kotchakarn Nantasaksiri | ||
According to the Alternative Energy Development Plan (AEDP 2012-2021) initiated by the Ministry of Energy (MoE), the future power generation sourced by alternative energy resources is planned to be increased up to 25% of total power generation in next 10 years. Among various alternative energy resources, biogas will contribute as high as 3600 MW of which 83% or 3000 MW will be produced from Napier grass. By an approximate estimation, an enormous area of 480,000 ha throughout Thailand is needed for Napier grass plantation in order to achieve the AEDP 2012-2021’s target. This study aimed to develop a method in locating suitable areas of Napier grass plantation and estimating the potential of its productivity using geographic information system (GIS) technique via ArcGIS software. Integrating with statistical data obtained from pilot plantation sites, it was found that the total suitable area, including all different classifications was 51,324,101 ha and the total yield potential was 30,784,515 tons/year. The largest usable area was found at North-Eastern region which approximately 45% of total usable area.
Full Text : Download! |
||
10. | การพัฒนาการวิเคราะห์ผลกระทบจากความขัดข้องสำหรับการบำรุงรักษาบนพื้นฐานความน่าเชื่อถือ [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : กฤษดา ฝ่ายไทย | ||
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาการวิเคราะห์ผลกระทบจากความขัดข้อง (Consequence
of Failure Analysis : COFA) โดยการพัฒนาการแบ่งประเภทความวิกฤติ4 ประเภทเดิมได้แก่
Critical Component, Potential Component, Economic Component และ Run To Failure
Componentโดยนำเอาระดับการตรวจจับชิ้นส่วน 4 ระดับมาเป็นเกณฑ์การพัฒนาซึ่งได้แก่ ชิ้นส่วน
ที่ไม่มีการตรวจจับ ชิ้นส่วนที่ตรวจจับได้ด้วยประสาทสัมผัส ชิ้นส่วนที่ตรวจจับได้ด้วยอุปกรณ์ และ
ชิ้นส่วนที่ตรวจจับได้ตลอดเวลา ซึ่งจากรวมเข้าด้วยกันของทั้ง 2 เกณฑ์นี้ ผู้วิจัยสามารถเพิ่มประเภท
ของชิ้นส่วนได้เป็น 16 ประเภทซึ่งเรียกว่า โคฟาพลัส (COFA+)
การประยุกต์ใช้งาน COFA+ นี้ทำให้เกิดความหลากหลายของประเภทชิ้นส่วนมากขึ้น และ
ประเภทของชิ้นส่วนยังมีความใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้น ซึ่งจะทำให้การบำรุงรักษาเชิงรุกมี
ความเหมาะสมมากขึ้น ได้สรุปเป็นตาราง COFA+ ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการของการบำรุงรักษาบน
พื้นฐานความน่าเชื่อถือ และชิ้นส่วนที่แบ่งแยกตามประเภทของ COFA+ นั้นยังสามารถบอกได้ถึง
กิจกรรมการบำรุงรักษาและรวมถึงการวางแผนการบำรุงรักษาในระยะยาว
จากการพัฒนา COFA+ นี้ได้นำไปประยุกต์ใช้กับเครื่องขนถ่ายแบบลิฟท์ สามารถลดอัตรา
การขัดข้องได้ จากร้อยละ 0.59เป็นร้อยละ 0.27และสามารถลดต้นทุนการผลิตได้เป็นจำนวนเงิน
93,233 บาท ต่อเดือน
Full Text : Download! |
||
Center of Academic Resource
Institute of Technology 1771/1, E Building, Fl. 2,
Pattanakarn Rd, Suan Luang, Bangkok, 10250