fieldjournalid
![]() | สารนิพนธ์ (MBJ) 2022 |
1. | ปัจจัยส่วนผสมการตลาด 4Ps และ 4Es ที่ส่งผลต่อการใช้บริการร้านกาแฟคุณภาพพิเศษ (Specialty Coffee) อย่างต่อเนื่อง [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : วีรพร สุวนันทรัตน์ | ||
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ส่วนผสมการตลาด 4Ps ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์
ราคา ช่องทางการจำหน่ายและการส่งเสริมการตลาดที่ส่งผลต่อการใช้บริการร้านกาแฟคุณภาพ
พิเศษ (Specialty Coffee) อย่างต่อเนื่อง 2) ส่วนผสมการตลาด 4Es ประกอบด้วย การสร้าง
ประสบการณ์ การสร้างคุณค่า การเข้าถึงผู้บริโภค และการสร้างความสัมพันธ์ส่งผลต่อการใช้บริการ
ร้านกาแฟคุณภาพพิเศษ (Specialty Coffee) อย่างต่อเนื่อง เก็บตัวอย่างจากผู้บริโภคที่เคยใช้
บริการร้านกาแฟคุณภาพพิเศษ กลุ่มตัวอย่างมีจำนวนทั้งสิ้น 400 คน โดยใช้แบบสอบถามใน
การเก็บข้อมูล สถิติที่ใช้ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ สถิติการการ
ถดถอยเชิงพหุ
ผลการศึกษาพบว่า ส่วนผสมการตลาด 4Ps ด้านโปรโมชัน่ ด้านสินค้า และด้านราคา
สามารถร่วมกันพยากรณ์การใช้บริการร้านกาแฟคุณภาพพิเศษ Specialty Coffee อย่างต่อเนื่อง
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยมีสัมประสิทธิ์การตัดสินใจเชิงพหุหรือค่าอำนาจใน
การพยากรณ์ ร้อยละ 22.50 เขียนเป็นสมการในรูปคะแนนมาตรฐานได้ ดังนี้ Ẑ = 0.285 (ส่งเสริม
การตลาด) + 0.221 (ผลิตภัณฑ์) + 0.155 (ราคา) ในขณะที่ด้านสถานที่ไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจ
ใช้บริการของผู้บริโภค
และพบว่า ส่วนผสมการตลาด 4Es ด้านประสบการณ์ ด้านการสร้างคุณค่า ด้านการเข้า
ถึงผู้บริโภค ด้านการสร้างความสัมพันธ์สามารถร่วมกันพยากรณ์การใช้บริการร้านกาแฟคุณภาพ
พิเศษ (Specialty Coffee) อย่างต่อเนื่อง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยมีอำนาจใน
การพยากรณ์ ร้อยละ 33.00 เขียนเป็นสมการในรูปคะแนนมาตรฐานได้ ดังนี้ Ẑ = 0.301 (การสร้าง
ประสบการณ์) + 0.232 (การเข้าถึงผู้บริโภค) + 0.195 (การสร้างความสัมพันธ์) ในขณะที่การสร้าง
คุณค่าไม่ส่ง
Full Text : Download! |
||
2. | การบริการแบบญี่ปุ่น และค่านิยม ที่ส่งผลต่อความตั้งใจใช้บริการร้านซาลอนแบบญี่ปุ่นในเขตกรุงเทพมหานคร [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : วิจิตรา มาประจง | ||
การวิจัยมีวัตถุประสงค์มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริการแบบญี่ปุ่น Omotenashi ที่
ส่งผลให้มาใช้บริการซาลอนญี่ปุ่น จังหวัดกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อศึกษาความนิยมเกี่ยวกับญี่ปุ่นที่
ส่งผลให้มาใช้บริการซาลอนญี่ปุ่น จังหวัดกรุงเทพมหานคร และ 3) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้
บริการซาลอนญี่ปุ่น จังหวัดกรุงเทพมหานคร เก็บรวมรวมข้อมูลโดยแบบการสัมภาษณ์เชิงลึก โดย
กลุ่มตัวอย่าง คือผู้ที่เคยใช้บริการซาลอนญี่ปุ่น ที่เคยใช้บริการครั้งล่าสุดไม่เกิน 3 เดือน จำนวน
10 คน ผู้โดยวิจัยใช้วิธีการนำเสนอข้อมูลและผลวิจัยแบบการพรรณาเชิงวิเคราะห์ (Descriptive
Analysis) ผู้ตอบแบบสอบถามโดยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 29-36 ปี มีระดับการศึกษาปริญญา
ตรี อาชีพพนักงานบริษัทเอกชน/งานอิสระ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม
พบว่า ทุกคนมองว่าการบริการแบบญี่ปุ่น (โอโมเตนาชิ) เป็นส่วนสำคัญที่เลือกใช้ซาลอนญี่ปุ่น และ
9 ใน 10 คน มองว่าความชอบในญี่ปุ่น ส่งผลให้เลือกใช้ซาลอนญี่ปุ่น ด้านพฤติกรรมการใช้บริการ
พบว่า เลือกไปร้านซาลอนญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นช่วงวันหยุด (เสาร์-อาทิตย์) ร้อยละ 50 ช่วงเวลาเลือก
ไปร้านซาลอนส่วนใหญ่มาใช้บริการในช่วงเช้า (09:00-10:00) ร้อยละ 50 และไม่กำหนดชัดเจน
แล้วแต่จังหวะสะดวกช่วงนั้นๆ คิดเป็นร้อยละ 50 ส่วนใหญ่มีค่าใช้จ่ายในการใช้บริการร้านซาลอน
ต่อครั้งอยู่ที่ช่วงราคา 600-1,200 บาท/ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 40 และช่วงราคา และช่วงราคา 3,001-
4,000 บาท/ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 40 เมนูที่ใช้บริการบ่อยมากที่สุดคือตัดผม ร้อยละ 40 รองมาคือเมนู
ตัดและทำสีซึ่งเท่ากันกับเมนูตัดและดัด
Full Text : Download! |
||
3. | Japanese Human Resource of The Parent Company, Ability of Local Managers, Internal Communication, and Expatriates Condition Affecting the Success of Localization Management of the Subsidiary: A Case Study of Japanese Subsidiary in Thailand at Eastern Seab [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : Kewwarin Sae-heng | ||
The purpose of this research was to study the influence of Japanese Human
Resource Management (HRM), Expatriates’ condition, Local manager’s skills and roles,
and Internal communication affecting on success of Localization in a subsidiary through
indication of Organizational performance. Organizational culture was additionally tested
to investigate as moderating variable. The questionnaires were developed to collect data
167 samples in a Japanese Subsidiary in Thailand at Eastern Seaboard Industrial Estate in
Rayong province. The collected data were statistically analyzed using frequency,
percentage, mean, standard deviation, together with assessment of normality distribution,
correlation analysis, multiple linear regression, and moderation analysis.
The results obviously showed that Japanese HRM for Consensual decision and
Quality control circle, Expatriates’ condition for Coach and Conductor, Local manager’s
skills and roles in term of Principle of management and organization and roles, and
Internal communication in Downward, Upward, and Lateral communication positively
correlated to Organizational performance at significant level of 0.01. Furthermore, the
moderating analysis showed an appropriate interaction term of Organizational culture on
Local manager’s skills and roles and Organizational performance at significant level 0.05.
This study was concluded that the Local manager’s skills and roles had a
highlighted relation on success of localization in the
Full Text : Download! |
||
4. | บุพปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อสินค้าไพรเวทแบรนด์ของญี่ปุ่น กรณีศึกษา แบรนด์ Jonetsu Kakaku ในห้าง Don Quijote สาขาประเทศไทย [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : เนติรัตน์ เทียนไทย | ||
การวิจัยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาพฤติกรรมการซื้อสินค้าไพรเวทแบรนด์ของผู้บริโภคและเพื่อศึกษาระดับความสำคัญของส่วนประสมทางการตลาด 7P ภาพลักษณ์ของร้านค้า ความคุ้นชินกับแบรนด์ และการตั้งใจซื้อสินค้าไพรเวทแบรนด์ของผู้บริโภคและเพื่อศึกษาส่วนปัจจัยประสมทางการตลาด 7Pภาพลักษณ์ของร้านค้าและความคุ้นชินกับแบรนด์ Jonetsu Kakaku ในห้าง Don Quijote สาขาประเทศไทยเป็นการวิจัยเชิงสำรวจ เก็บรวมรวมข้อมูลโดยแบบสอบถาม โดยกลุ่มตัวอย่าง คือกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นผู้เคยใช้บริการและเคยซื้อสินค้าไพรเวทแบรนด์ของ ญี่ปุ่น กรณีศึกษา แบรนด์ Jonetsu Kakaku ในห้าง Don Quijote สาขาประเทศไทย จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานโดยใช้การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการการศึกษา พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามโดยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 18-24 ปี สถานภาพโสด ระดับการศึกษาปริญญาตรี อาชีพพนักงานบริษัทเอกชน/รับจ้าง รายได้ต่อเดือนอยู่ที่ 20,001-30,000 บาท บาท ความถี่ต่อเดือนของการซื้อสินค้าไพรเวทแบรนด์ 2-3 ครั้ง/เดือน ช่วงวนั ที่ซื้อสินค้าไพรเวทแบรนด์ วันเสาร์-อาทิตย์ ช่วงเวลาการเดินทางมาใช้บริการห้าง Don Quijote สาขาประเทศไทย 18:00 น. – 23:59 น. จำนวนเงินเฉลี่ยต่อการซื้อสินค้าไพรเวทแบรนด์ 1,001 – 2,000 บาท เหตุสำคัญที่สุดในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าไพรเวทแบรนด์ ราคาที่เหมาะสม, มาตรฐานและคุณภาพของแบรนด์, ภาพลักษณ์ของแบรนด์, ภาพลักษณ์ของแบรนด์, กิจกรรมส่งเสริมการขาย, ชื่อเสียงของแบรนด์, การโฆษณาประชาสัมพันธ์ เรียงตามลำดับ ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ส่วนประสมทางการตลาด 7P ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อ และความคุ้นชินกับแบรนด์ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อ อย่
Full Text : Download! |
||
5. | กลยุทธ์การตลาดและการสื่อสารแบบปากต่อปากทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งผลต่อความผูกพัน ร้านกาแฟชนิดพิเศษจากญี่ปุ่นของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : กิตติคุณ นินถึก | ||
การวิจัยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคการใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการค้นหาและแชร์ข้อมูลร้านกาแฟชนิดพิเศษจากญี่ปุ่น 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของการสื่อสารแบบปากต่อปากทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งผลต่อความผูกพันร้านกาแฟชนิดพิเศษจากญี่ปุ่น และ 3) ศึกษาอิทธิพลของกลยุทธ์การตลาด 5A ที่ส่งผลต่อความผูกพันร้านกาแฟชนิดพิเศษจากญี่ปุ่น เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ เก็บรวมรวมข้อมูลโดยแบบสอบถาม โดยกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริโภคร้านกาแฟชนิดพิเศษจากญี่ปุ่นในเขตกรุงเทพมหานครที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป จำนวน 413 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอ้างอิงประเภทการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามโดยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 30 - 39 ปี สถานภาพสมรส รายได้ต่อเดือนอยู่ที่ 30,001 - 40,000 บาท ระดับการศึกษาปริญญาตรี อาชีพพนักงานบริษัทเอกชน/รับจ้าง และผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ใช้บริการร้านกาแฟชนิดพิเศษจากญี่ปุ่น ได้แก่ KURASU, % ARABICA, HARIO, CAFÉ, UCC COFFEE ROASTERY และ CAFÉ KITSUNE ตามลำดับ ด้านพฤติกรรมการใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการค้นหาและแชร์ข้อมูลร้านกาแฟชนิดพิเศษจากญี่ปุ่น พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ใช้โซเชียลมีเดีย Facebook เป็นหลัก รองลงมาเป็น Twitter, Instagram ตามลำดับ โดยแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวกับร้านกาแฟชนิดพิเศษคือ เครือข่ายเพื่อนบนโซเชียลมีเดีย และการรีวิวจากบุคคลอื่นบนโซเชียลมีเดีย ช่วงเวลาใช้โซเชียลมีเดียอยู่ที่ 12.01 น. - 18.00 น. ระยะเวลาเฉลี่ยอยู่ที่ 3 - 4 ชั่วโมงต่อวัน และความถี่ในการแชร์ข้อมูลบนโซเชียลมีเดียอยู่ที่ 3 – 5 ครั้งต่อสัปดาห์ ด้านการทดสอบสมมติฐา
Full Text : Download! |
||
6. | องค์ประกอบของภาวะผู้นำเชิงปฏิบัติการ ส่งผลต่อความสำเร็จในการพัฒนาบุคลากร แบบโมโนซูคุริ กรณีศึกษาองค์กรญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : จิรภัทร เจียรวรวงศ์ | ||
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบประชากรศาสตร์มีการพัฒนา
บุคลากรแบบโมโนซุคุริแตกต่างกัน 2) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงปฏิบัติการส่งผลต่อความสำเร็จใน
การพัฒนาบุคลากรแบบโมโนซุคุริ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้ คือ พนักงานของบริษัท
ญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง จำนวน 169 คน โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บ
ข้อมูล สถิติที่ใช้ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ การทดสอบความแตกต่าง
2 กลุ่มตัวอย่าง การวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยข้อมูลเชิงกลุ่ม การหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน การ
ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันและการวิเคราะห์สมการโครงสร้าง
ด้วยการวิเคราะห์เส้นทาง
ผลการวิจัยพบว่า 1) อายุงานแตกต่างกันมีทักษะบุคลากรแบบโมโนซุคุริด้านทักษะ และ
ด้านร่างกายแตกต่างกัน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01 และพบว่า 2) ภาวะผู้นำเชิงปฏิบัติการที่
ประกอบด้วยตัวแปรภาวะผู้นำเชิงปฏิบัติการด้านภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงอย่างมีกลยุทธ์มีค่า
น้ำหนักเท่ากับ .99 ด้านภาวะผู้นำเชิงปฏิบัติการด้านภาวะผู้นำแบบมีมนุษย์สัมพันธ์มีค่าน้ำหนัก
เท่ากับ .96 และในด้านภาวะผู้นำเชิงปฏิบัติการด้านภาวะผู้นำส่งเสริมสนับสนุนมีค่าน้ำหนักเท่ากับ
.86 และสรุปได้ว่า ภาวะผู้นำเชิงปฏิบัติการส่งผลต่อความสำเร็จในการพัฒนาบุคลากรแบบโมโนซุคุริ
เท่ากับ 0.209 ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01
จากการวิจัยครั้งนี้ มีข้อเสนอแนะให้องค์กรมีการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะของบุคลากร
แบบโมโนซุคุริให้กับพนักงานทั้ง 2 ฝ่ายให้มาก ทั้งการอบรม OJT หรือมีระบบพี่เลี้ยงเพื่อให้
พนักงานพนักงานมีทักษะที่เท่ากัน
Full Text : Download! |
||
7. | ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้านและคุณภาพชีวิตการทำงานส่งผลต่อประสิทธิภาพการทางานที่บ้านของพนักงานบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นในเขตกรุงเทพมหานคร [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : จิรายุส บารุงกิจ | ||
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน คุณภาพชีวิตการทำงานและประสิทธิภาพการทำงานที่บ้านของพนักงานบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นในเขตกรุงเทพมหานคร 2) ศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้านส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานที่บ้านของพนักงานบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นในเขตกรุงเทพมหานคร 3) ศึกษาคุณภาพชีวิตการทำงานส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานที่บ้านของพนักงานบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นในเขตกรุงเทพมหานครและ 4) เพื่อนาเสนอแนวทางในการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่บ้าน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้คือ พนักงานบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูล สถิติที่ใช้ประกอบด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน การวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นแบบพหุ
ผลการศึกษาพบว่าระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน คุณภาพชีวิตการทำงาน และประสิทธิภาพการทำงานที่บ้านอยู่ในระดับมาก และพบว่าปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน ด้านการรับรู้ถึงประโยชน์ ด้านทรัพยากรและเทคโนโลยีที่เอื้ออานวย และด้านบรรทัดฐานที่ทำงานส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานที่บ้าน มีอานาจในการพยากรณ์ที่ร้อยละ 11.8 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ปัจจัยคุณภาพชีวิตการทำงาน ด้านการทำงานร่วมกัน และด้านค่าตอบแทนที่เพียงพอและยุติธรรมส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานที่บ้าน มีอานาจในการพยากรณ์ที่ร้อยละ 8.6 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
ผลวิจัยดังกล่าวสามารถนำไปวางแผนกำหนดแนวทางการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพระหว่างการทำงานที่บ้าน และสามารถนำไปปรับปรุงพัฒนาเชิงกลยุทธ์ให้กับองค์กรญี่ปุ่น โดยสนับสนุนด้
Full Text : Download! |
||
8. | ความสัมพันธ์ของการรับรู้ความเสี่ยงและส่วนประสมทางการตลาดกับ ความตั้งใจซื้อรถยนต์มือสองแบรนด์ญี่ปุ่น [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : ธีรเมธ ศีตมโนชญ์ | ||
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการซื้อรถมือสองของผู้บริโภค 2)เพื่อศึกษาระดับการรับรู้ความเสี่ยง ส่วนประสมทางการตลาด และความตั้งใจซื้อรถมือสอง แบรนด์ญี่ปุ่น และ3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความเสี่ยง และส่วนประสมทางการตลาดกับความตั้งใจซื้อรถมือสองแบรนด์ญี่ปุ่น ผู้วิจัยได้กาหนด การศึกษาเกี่ยวกับการรับรู้ความเสี่ยง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการใช้งาน ด้านกายภาพ ด้านการเงิน และด้านสภาพสังคม และกาหนดการศึกษาเกี่ยวกับส่วนประสมทางการตลาด 4 ด้าน ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านการจาหน่าย และด้านการส่งเสริมตลาด ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ นามาจากการค้นคว้าเอกสารที่มีอยู่จากแหล่งต่างๆ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จากกลุ่มผู้ซื้อรถยนต์มือสองแบรนด์ญี่ปุ่นหรือบุคคลที่มีความสนใจจะซื้อรถยนต์มือสองแบรนด์ญี่ปุ่น จานวน 420 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณา เพื่อแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานโดยการวิเคราะห์ค่าความสัมพันธ์เพียรสัน (Pearson Product Moment Correlation)
ผลการศึกษาวิจัยกลุ่มผู้ซื้อรถยนต์มือสองแบรนด์ญี่ปุ่นหรือบุคคลที่มีความสนใจจะซื้อรถยนต์มือสองแบรนด์ญี่ปุ่น บ่งชี้ว่า การรับรู้ความเสี่ยงในทุกด้าน ทั้งด้านการใช้งาน ด้านกายภาพ ด้านการเงิน ด้านสังคม มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับความตั้งใจซื้อรถยนต์มือสองแบรนด์ญี่ปุ่น โดยเฉพาะด้านสังคม สัมพันธ์กับความตั้งใจซื้อรถยนต์มือสองแบรนด์ญี่ปุ่นมากที่สุด มีระดับความสัมพันธ์ของสัมประสิทธิ์สัมพันธ์ (r) เท่ากับ 0.380 รองลงมาคือด้านการเงิน ระดับความสัมพันธ์ของสัมประสิทธิ์สัมพันธ์ (r) เท่ากับ 0.289 ส่วนประสมทางการตลาดทุกด้าน ทั้งด้านผลิตภัณฑ์
Full Text : Download! |
||
9. | อิทธิพลการไหลลื่นและการรับรู้คุณค่าที่ส่งผลต่อความเต็มใจที่จะจ่ายค่าเช่าตอนของ เว็บตูนในแอปพลิเคชันคาเคาเว็บตูน [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : นีร บุษยบัณฑูร | ||
การวิจัยเรื่องอิทธิพลการไหลลื่นและการรับรู้คุณค่าที่ส่งผลต่อความเต็มใจที่จะจ่ายค่าเช่าตอนของเว็บตูนในแอปพลิเคชันคาเคาเว็บตูน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้งานแอปพลิเคชันคาเคาเว็บตูน, การไหลลื่น การรับรู้คุณค่า และความพึงพอใจแบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่ส่งผลต่อความเต็มใจที่จะจ่ายค่าเช่าตอนของเว็บตูนในแอปพลิเคชันคาเคาเว็บตูน และเพื่อศึกษาความสอดคล้องของแบบจำลองเชิงสาเหตุซึ่งมีอิทธิพลของการไหลลื่นและการรับรู้คุณค่าส่งผลต่อความเต็มใจที่จะจ่ายค่าเช่าตอนของเว็บตูนในแอปพลิเคชันคาเคาเว็บตูน การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้วิธีการสำรวจจากแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นกลุ่มผู้ใช้บริการแอปพลิเคชัน คาเคา เว็บตูน ที่อ่าน เช่า หรือซื้อเว็บตูนภายในแอปพลิเคชัน จำนวน 326 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์ตัวแบบสมการโครงสร้างด้วย Smart PLS 4.0
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 21-30 ปี ระดับการศึกษาสูงสุดอยู่ที่ปริญญาตรี รายได้ต่อเดือน 5,000 บาท หรือตํ่ากว่า อาชีพเป็นนักเรียน/นักศึกษา ด้านการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานแอปพลิเคชันคาเคาเว็บตูน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามใช้งานเพราะมีเว็บตูนที่น่าสนใจหลายเรื่องให้เลือกอ่าน นิยมอ่านเว็บตูนแนวโรแมนซ์แฟนตาซี ใช้งานแอปพลิเคชัน 1-2 ครั้ง/วัน อ่านในช่วงเวลา 18.01 น. - 00.00 น. และจ่ายเงินให้คาเคาเว็บตูน เฉลี่ยต่อเดือน 500 บาท หรือตํ่ากว่า ด้านการทดสอบสมมติฐานจากสมการเชิงโครงสร้าง พบว่า การไหลลื่นส่งผลเชิงบวกต่อความพึงพอใจแบบอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ใช้งาน การรับรู้คุณค่ามีอิทธิพลเชิงบวกต่อความพึงพอใจแบบอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ใช้งาน และ
Full Text : Download! |
||
10. | การยอมรับเทคโนโลยี การสื่อสารทางการตลาดแบบบูรณาการ และความไว้วางใจ ส่งผลต่อการ ตัดสินใจใช้บริการอย่างต่อเนื่องของสมาร์ทโฮม ด้านความปลอดภัย แบบเสียค่าบริการรายเดือน กรณีศึกษาบริษัทรักษาความปลอดภัยแห่งหนึ่ง [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : พัชรมาศ ตันพานิช | ||
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการยอมรับ
เทคโนโลยี การสื่อสารทางการตลาดแบบบูรณาการ และความไว้วางใจ ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้
บริการอย่างต่อเนื่อง 2-4) การยอมรับเทคโนโลยี การสื่อสารทางการตลาดแบบบูรณาการ และ
ความไว้วางใจ ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการอย่างต่อเนื่อง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาใน
ครั้งนี้ คือ ผู้ใช้บริการสมาร์ทโฮมปัจจุบันของบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพฯ และ
ปริมณฑล ซึ่งมีจำนวน 193 ราย โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูล สถิติที่ใช้ ประกอบด้วย
ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ การหาค่าสัมประสิทธิส์ หสัมพันธ์เพียร์สัน และการ
วิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุ
จากผลการศึกษา ผู้ใช้บริการสมาณทโฮมมีระดับความคิดเห็นด้านการยอมรับ
เทคโนโลยีอยู่ในระดับมากที่สุด ลำดับถัดมาคือด้านการสื่อสารทางการตลาด และด้านความ
ไว้วางใจอยู่ในระดับมาก
ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยการยอมรับเทคโนโลยี ด้านการรับรู้ความง่าย ด้านการรับรู้
ประโยชน์ และด้านทัศนคติ ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการอย่างต่อเนื่องของผู้ใช้บริการ และ
พบว่าปัจจัยการสื่อสารทางการตลาดแบบบูรณาการ ด้านการขายโดยใช้พนักงาน และการให้
ข่าวและการประชาสัมพันธ์มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการต่อเนื่องของผู้ใช้บริการ และยังพบว่า
ปัจจัยความไว้วางใจ ด้านความซื่อสัตย์ ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการอย่างต่อเนื่องของ
ผู้ใช้บริการ
ข้อเสนอแนะ องค์กรควรพัฒนาแอปพลิเคชันสมาร์ทโฮมให้ง่ายต่อการใช้งาน และจัด
ฝึกอบรมพนักงานขายให้มีความรู้ในสินค้าและบริการ รวมทั้งสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า จน
เกิดความเชื่อถือที่มาจากความไว้วางใจและความมั่นใจในการบริการ
Full Text : Download! |
||
Center of Academic Resource
Institute of Technology 1771/1, E Building, Fl. 2,
Pattanakarn Rd, Suan Luang, Bangkok, 10250