fieldjournalid
![]() | บทความวิจัย (MIM) 2017 |
1. | การศึกษาเนื้อหาสื่อประชาสัมพันธ์บน Facebook ของบริษัท เอสเทรค (ประเทศไทย) จากัด [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : ปาลีรัฐ เลขะวัฒนะ, ศุภกร อินทยานนท์ | ||
สารนิพนธ์เรื่อง “การศึกษาเนื้อหาสื่อประชาสัมพันธ์บน Facebook ของบริษัท เอสเทรค (ประเทศไทย) จำกัด” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเนื้อหาสื่อประชาสัมพันธ์ รวมถึงพฤติกรรมการใช้งานและการรับรู้เกี่ยวกับสื่อประชาสัมพันธ์บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ของผู้ติดตามเพื่อค้นหารูปแบบของสื่อประชาสัมพันธ์ที่ผู้ติดตามแต่ละกลุ่มเลือกติดตามและเพื่อสามารถนาเสนอรูปแบบเนื้อหาของสื่อประชาสัมพันธ์ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการและเกิดปฏิสัมพันธ์ต่อเนื้อหาจากผู้ติดตามในแต่ละกลุ่ม
สารนิพนธ์นี้มีวิธีการศึกษาและดาเนินการวิจัยโดยการเก็บข้อมูลทางสถิติจากการใช้แบบสอบถามจากประชากรผู้ติดตามเครือข่ายสังคมออนไลน์ของบริษัทฯจานวน 21,724 คนและกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาจานวน 393 คน โดยเป็นแบบสอบถามที่ใช้เพื่อศึกษาและทาความเข้าใจในด้านประชากรศาสตร์ พฤติกรรมการใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์และเหตุผลในการรับรู้และติดตามข้อมูลและเนื้อหาสื่อประชาสัมพันธ์จากเครือข่ายสังคมออนไลน์ของผู้ติดตามเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า IT และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
จากการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุอยู่ในช่วง 25 - 30 ปี มีอาชีพเป็นพนักงานบริษัท รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001 – 30,000 บาท และมีระดับการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี และจากผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีปัจจัยทางด้านประชากรศศาสตร์ที่แตกต่างกันส่งผลให้มีพฤติกรรมการใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์และการรับรู้สื่อประชาสัมพันธ์จากเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า IT และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แตกต่างกัน
รูปแบบของเนื้อหาสื่อประชาสัมพันธ์บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพและผู้ติดตามเลือกติดตามมากที่สุดคือสื่อป
Full Text : Download! |
||
2. | การปรับปรุงการติดตั้งแม่พิมพ์ในโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์พลาสติก กรณีศึกษาโรงงานฉีดชิ้นส่วนยานยนต์พลาสติก [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : วรรณวิมล พงศ์ธาดาพร, ปาลีรัฐ เลขะวัฒนะ | ||
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงขั้นตอนการติดตั้งและลดเวลาการติดตั้งแม่พิมพ์ในโรงงานฉีดชิ้นส่วนยานยนต์พลาสติก โดยศึกษาขั้นตอนการเปลี่ยนและติดตั้งแม่พิมพ์ตามหลักการและเทคนิคการปรับตั้งเครื่องจักรแบบ Single Minute Exchange of Die (SMED) เป็นการปรับปรุงกิจกรรมภายในและกิจกรรมภายนอกและย้ายกิจกรรมภายในเป็นกิจกรรมภายนนอก เพื่อลดเวลาที่สูญเปล่าและลดความผันแปรของเวลา ทาให้การติดตั้งแม่พิมพ์มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
เครื่องฉีดพลาสติกที่ใช้ในการศึกษาคือเครื่องฉีดพลาสติกขนาด 2300 ตัน โดยศึกษาขั้นตอนการติดตั้งแม่พิมพ์ในปัจจุบันด้วยการบันทึกขั้นตอนและเวลาที่ใช้แต่ละขั้นตอนเพื่อค้นหาปัจจัยที่ทาให้การติดตั้งแม่พิมพ์ใช้เวลานานและมีความผันแปร โดยปรับใช้เทคนิคการปรับตั้งเครื่องจักรตามหลักการ SMED
ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยสาคัญที่มีผลต่อเวลาการติดตั้งแม่พิมพ์คือการเตรียมการก่อนการติดตั้งและความพร้อมของอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง จึงแยกกิจกรรมภายในและภายนอก จากนั้นทาการย้ายกิจกรรมภายในไปเป็นกิจกรรมภายนอก 3 ขั้นตอน ทาให้สามารถปรับปรุงเวลากิจกรรมภายในให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากผลการปรับปรุงสามารถลดเวลารวมการติดตั้งแม่พิมพ์จากเดิม 221 นาที ลดเหลือ 185 นาที (ลดลง 36 นาที) และลดเวลากิจกรรมภายในได้ 69 นาที หรือ 35% โดยสามารถแปรเวลาที่ลดกิจกรรมภายในเป็นมูลค่าสินค้าได้ถึง 365,400.- บาท/เดือน นอกจากนี้ยังสามารถลดเวลาผันแปรของเวลาจากเดิม 78 นาที ลดเหลือ 23 นาที (ลดลง 55 นาที)
Full Text : Download! |
||
3. | การเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลกับปัจจัยการเคลื่อนย้ายแรงงานไทยไปทำงานประเทศญี่ปุ่น [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : บุญญ์กนิษฐ์ รัตนทุมมาพร, นฤตย์ราภา ทรัพย์ไพบูลย์ | ||
ความมุ่งหมายของการศึกษา คือ เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลของแรงงานไทยที่ย้ายถิ่นไปประเทศญี่ปุ่น และปัจจัยการเคลื่อนย้ายแรงงานไทยไปญี่ปุ่น และเพื่อการเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลกับปัจจัยการเคลื่อนย้ายแรงงานไทยไปทำงานประเทศญี่ปุ่น เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่าง คือ แรงงานไทยที่ทำงานในประเทศญี่ปุ่น จำนวน 375 คน วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยล่ะ ค่าเฉลี่ย การวิเคราะห์ค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว และการวิเคราะห์ความแตกต่างเป็นรายคู่ ทดสอบความแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยสาคัญน้อยที่สุด ผลการศึกษา พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย มีอายุระหว่าง 26-35 ปี สถานภาพโสด จำนวนสมาชิกในครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ 1-3 คน ระดับการศึกษาปริญญาตรี สาเร็จการศึกษาจากประเทศไทย มีความรู้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่น อาชีพวิศวกร ไม่มีประสบการณ์การไปทำงานต่างประเทศ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีรายได้ก่อนการเดินทางไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น 20,001-40,000 บาทมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนเมื่อเดินทางไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น 45,001-60,000 บาท ส่วนใหญ่ไม่มีภาระหนี้สินก่อนการเดินทาง และไม่มีเครือญาติ/คนรู้จักในประเทศญี่ปุ่น ปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกัน (เพศ อายุ สถานภาพ ระดับการศึกษา อาชีพ ประสบการณ์การไปทำงานต่างประเทศ รายได้ การมีเครือข่าย/คนรู้จักในต่างประเทศ) มีผลกับปัจจัยดึงดูดและปัจจัยผลักดัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ P <0.05 ยกเว้นการมีภาระหนี้สิน ปัจจัยดึงดูดในการเคลื่อนย้ายแรงงานไทยไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ ด้านโอกาสความก้าวหน้าในอาชีพสูง ด้านระดับค่าจ้างสูง ด้านการแสวงหาประสบการณ์ใหม่ ด้านปัจจัยทางสังคมและการเมือง ด้านการขาดกำลังคน ด้านการมีเครือข่ายคนรู้จัก ตามลำดับ และปัจจัยผลักดันใ
Full Text : Download! |
||
4. | การใช้กลุ่มควบคุมคุณภาพเพื่อลดของเสีย ในกระบวนการผลิตท่อส่งน้ามันเทอร์โบชาร์จเจอร์ [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : ณฐพร ทองนาคโคกกรวด, จักร ติงศภัทิย์ | ||
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประยุกต์ใช้กลุ่มควบคุมคุณภาพในการลดของเสียในกระบวนการผลิตท่อส่งน้ามันเทอร์โบชาร์จเจอร์ ของบริษัท แอลบีเอส พรีซิชั่น จากัด ดำเนินการศึกษากระบวนการผลิตชิ้นงานท่อส่งน้ามันเทอร์โบชาร์จเจอร์ เกรด STKM11A ขนาด OD 15 mm. โดยใช้เครื่องมือ QC 7 Tools เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์สาเหตุ กำหนดแผนปรับปรุง ดำเนินการ วัดผลและเปรียบเทียบผลการแก้ไขปัญหาทางด้านคุณภาพภายใต้กรอบของวงจร PDCA และใช้กลุ่มควบคุมคุณภาพที่จัดตั้งขึ้น ผลการศึกษาพบว่า หลังการปรับปรุงมีของเสียเกิดขึ้นในกระบวนการผลิตในรอบ 4 เดือน เป็นจำนวน 39,737 ชิ้น คิดเป็นร้อยละ 14.99 ของปริมาณการผลิตทั้งหมด ไม่ผลิตของเสียเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้และสามารถลดต้นทุนในการผลิตของเสียลงได้เป็นจำนวน 69,500 บาท
Full Text : Download! |
||
5. | การเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการในสำนักงาน กรณีศึกษา บริษัท บลาสตัน (ไทยแลนด์) จากัด [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : สุทธิพงษ์ เลิศลักษณะโสภณ, จักร ติงศภัทิย์ | ||
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากิจกรรมและกระบวนการใน
สำนักงานและค้นหาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพ ดำเนินการศึกษา
กระบวนการดำเนินงานของบริษัท บลาสตัน (ไทยแลนด์) จากัด เลือกกลุ่ม
ตัวอย่างแบบเจาะจงจากลูกค้าของบริษัทจำนวน 30 ตัวอย่าง เก็บข้อมูล
ขัน้ ตอนการดำเนินงาน และระยะเวลาที่ใช้ในแต่ละกิจกรรมระหว่างเดือน
พฤศจิกายน 2560 ถึงเดือนมกราคม 2561 ด้วยการสังเกตการณ์ จับเวลา จด
บันทึก และนำมาวิเคราะห์ปัญหาหรือความสูญเปล่าที่เกิดขึ้นในแต่ละกิจกรรม
ของกระบวนการโดยใช้ค่าเฉลี่ย ( x ) และเวลาปกติ (Normal Time)
ดำเนินการแก้ไขปัญหาและเปรียบเทียบประสิทธิภาพของกระบวนการ
ดำเนินงานในสานักงานก่อนและหลังการปรับปรุงด้วยการทดสอบ Paired ttest
ผลการศึกษาพบว่า การดำเนินงานในสำนักงานมีกระบวนการหลัก 3
กระบวนการ ประกอบด้วย 8 กิจกรรม มีความสูญเปล่าเกิดขึ้นในทุกกิจกรรม
เมื่อดำเนินการปรับปรุงตามแนวคิดลีนในสำนักงานและจัดทำแผนผังกิจกรรม
ทำให้เวลาเฉลี่ยในการปฏิบัติงานแต่ละกิจกรรมลดลง ค่าเฉลี่ยของเวลา
ปฏิบัติงานของกระบวนการทั้งสามหลังการปรับปรุงลดลงอย่างมีนัยสำคัญทาง
สถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีค่า t เท่ากับ 9.1415 กระบวนการดำเนินงานใน
สำนักงานบริษัท บลาสตัน (ไทยแลนด์) จา กัด มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
Full Text : Download! |
||
6. | การบริหารเวลาและความเครียดในการทำงานที่ส่งผลต่อผลการปฏิบัติงาน กรณีศึกษา พนักงานขับรถส่งอาหาร ในเขตกรุงเทพมหานคร [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : ฐิติกานต์ จรจวบโชค, สุรสิทธิ์ อุดมธนวงศ์ | ||
การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ 1. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของการบริหารเวลากับผลการปฏิบัติงานของพนักงานขับรถส่งอาหารในเขตกรุงเทพมหานคร 2. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของความเครียดกับผลการปฏิบัติงานของพนักงานขับรถส่งอาหารในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ศึกษาจากเป็นพนักงานขับรถส่งอาหารให้กับลูกค้า โดยใช้กลุ่มตัวอย่างในเขตกรุงเทพมหานครในการศึกษาจำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสหสัมพันธภาพเพียร์สัน (Pearson Correlation) การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ตอบแบบสอบถามโดยส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุระหว่าง 20-24 ปี สถานภาพการสมรสเป็นโสด ระดับการศึกษาปวช./ มัธยมศึกษาตอนปลาย สภาพการจ้างงานเป็นพนักงานรายวัน มีประสบการณ์ในการทำงาน 1-2 ปี และมีรายได้ต่อเดือนระดับ 12,001-15,000 บาท 2) การบริหารเวลาในการทำงาน พบว่าพนักงานขับรถส่งอาหารได้ให้ความสำคัญในเรื่องของวางแผนและกำหนดเวลาในการปฏิบัติงาน ตลอดจนการจัดเตรียมอุปกรณ์และพาหนะให้พร้อมต่อการปฏิบัติงาน เพื่อให้งานสามารถดาเนินได้อย่างราบรื่นตามแผนที่ได้กำหนดไว้มากที่สุด ความเครียดในการทำงาน พบว่าพนักงานขับรถส่งอาหารได้ให้ความสำคัญในเรื่องของลักษณะของงานที่ต้องทำงานอย่างเร่งรีบเพื่อส่งอาหารให้ตรงเวลา และสภาพการจราจรที่ติดขัดในการเดินทางไปส่งอาหารให้กับลูกค้ามากที่สุด 3) การบริหารเวลาและความเครียดในการทำงานที่ส่งผลต่อผลการปฏิบัติงาน ของพนักงานขับรถส่งอาหารในเขตกรุงเทพมหานคร สอดคล้องกับข้อสมมติฐานที่ระดับนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
Full Text : Download! |
||
7. | การลดความสูญเปล่าในกระบวนการผลิตราวเหล็กลูกฟูกป้องกันรถ โรงงานกรณีศึกษา [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : ศิริรุจน์ เตธนานันท์, ปาลีรัฐ เลขะวัฒนะ | ||
การศึกษานี้เป็นการศึกษาการลดความสูญเปล่าในกระบวนการผลิตราวเหล็กลูกฟูกป้องกันรถในโรงงานกรณีศึกษา ซึ่งเป็นบริษัทขนาดเล็กที่ผลิตป้ายจราจรและราวเหล็กลูกฟูกป้องกันรถ โดยทำการลดความสูญเปล่าที่เกิดจากกระบวนการผลิต โดยนำแผนภูมิกระบวนการไหลมาใช้ในการเก็บข้อมูลเพื่อวิเคราะห์กระบวนการผลิต และใช้การวิเคราะห์Why-Why เพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา จากนั้นปรับปรุงวิธีการปฏิบัติงานโดยนำหลักการECRS มาปรับปรุงในกระบวนการผลิต
หลังจากปรับปรุงวิธีการปฏิบัติงานของกระบวนการผลิตราวเหล็กลูกฟูกป้องกันรถ สามารถลดความสูญเปล่าได้ดังนี้ ก่อนปรับปรุงกระบวนการผลิตมี 3 ขั้นตอน ลดเหลือ 2 ขั้นตอน สามารถลดรอบเวลาในการผลิตจากเดิม 828 วินาที ลดลงเหลือ 81 วินาที คิดเป็นการลดลงร้อยละ 90.2 สามารถลดระยะทางการเคลื่อนย้ายชิ้นงานจากเดิม 40 เมตร ลดลงเหลือ 5 เมตร คิดเป็นการลดลงร้อยละ 87.5 และสามารถลดจานวนพนักงานจากเดิม 8 คน ลดลงเหลือ 4 คน ทาให้ลดค่าใช้จ่ายด้านค่าแรงจากเดิม 72,800 บาทต่อเดือน ลดลงเหลือ 36,400 บาทต่อเดือน คิดเป็นการลดลงร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายด้านค่าแรง
Full Text : Download! |
||
Center of Academic Resource
Institute of Technology 1771/1, E Building, Fl. 2,
Pattanakarn Rd, Suan Luang, Bangkok, 10250