fieldjournalid
![]() | งานวิจัย คณะบริหารธุรกิจ 2018 |
1. | รายงานการวิจัย การบริหารการผลิตแบบญี่ปุ่นส่งผลต่อการบริหารคุณภาพ และ ความพึงพอใจของลูกค้า กรณีศึกษาองค์กรแห่งความเป็นเลิศ [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : บุญชู ตันติรัตนสุนทร, บุญญาดา นาสมบูรณ์ | ||
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารการผลิตแบบญี่ปุ่นส่งผลต่อการ
บริหารคุณภาพ และ 2) เปรียบเทียบความพึงพอใจของพนักงานและลูกค้าในการบริหารคุณภาพ
ขอเก็บข้อมูลกับบุคลากรจากองค์กรที่ได้รับรางวัล Thailand Lean Award จำนวน 370 คน และ
ลูกค้า จำนวน 62 องค์กร โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ สถิติที่ใช้ประกอบด้วย ความถี่ ค่าร้อย
ละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการถดถ่อยแบบพหุ
ผลจากการศึกษาพบว่าตัวแปร 5S(X1), JIT(X4) and TPM(X6) ส่งผลกับการบริหารคุณภาพ
ด้านคุณภาพมีอำนาจพยากรณ์ร้อยละ 68 เขียนเป็นสมการพยากรณ์ Y1 = 1.181 + 0.327(X1) +
0.239(X4) + 0.187(X6) และตัวแปร 5S (X1), KAIZEN (X5), JIT (X4) and TPM (X6) ส่งผลกับการ
บริหารคุณภาพด้านการลดต้นทุน มีอำนาจพยากรณ์ร้อยละ75 เขียนเป็นสมการพยากรณ์ Y2 =
0.650 + 0.369(X1) + 0.175(X5) + 0.198(X4) + 0.129(X6) ส่ว น ตัว แ ป ร 5S (X1), JIT (X4) and
KAIZEN (X5)ส่งผลกับการบริหารคุณภาพด้านการส่งมอบสินค้าตรงตามเวลามีอำนาจพยากรณ์ร้อย
ละ 56 เขียนเป็นสมการพยากรณ์ Y3 = 1.567 + 0.314(X1) + 0.219(X4) + 0.179(X5) และตัวแปร
TPM (X6), 5S (X1) and JIT (X4) ส่งผลกับการบริหารคุณภาพด้านบริการ มีอำนาจพยากรณ์ร้อยละ
60 เขียนสมการพยากร์ Y4 = 1.181 + 0.327(X6) + 0.239(X1) + 0.187(X4)
ผลการเปรียบเทียบความมพึงพอใจระหว่างพนักงานกับลูกค้าในเรื่องการบริหารคุณภาพ
พบว่า ลูกค้ามีความพึงพอใจมากกว่าพนักงานในองค์กรในทางบวก โดยด้านคุณภาพลูกค้ามีความ
พึงพอใจสูงกว่าพนักงานร้อยละ 10.55 การบริหารคุณภาพด้านการบริการ ลูกค้ามีระดับความพึง
พอใจสูงกว่าพนักงานร้อยละ 6.50 การบริหารคุณภาพด้านการส่งมอบ ลูกค้ามีระดับความพึงพอใจ
สูงกว่าพนักงานร้อยละ 5.69 และกา
Full Text : Download! |
||
2. | รายงานการวิจัยด้านการเรียนการสอนเรื่อง ทัศนคติที่มีต่อการพัฒนาผลการเรียนรู้วิชาจิตวิทยามนุษย์และองค์การของ นักศึกษาการจัดการทรัพยากรมนุษย์แบบญี่ปุ่น [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : นฤตย์รำภา ทรัพย์ไพบูลย์ | ||
การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติที่มีต่อการพัฒนาผลการเรียนรู้วิชาจิตวิทยามนุษย์
และองค์การของนักศึกษาการจัดการทรัพยากรมนุษย์แบบญี่ปุ่น 5 ด้าน ได้แก่ ด้านคุณธรรม
จริยธรรม ด้านความรู้ ด้านทักษะทางปัญญา ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความ
รับผิดชอบ และด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
และเพื่อ เปรียบเทียบทัศนคติที่มีต่อการพัฒนาผลการเรียนรู้วิชาจิตวิทยามนุษย์และองค์การของ
นักศึกษาการจัดการทรัพยากรมนุษย์แบบญี่ปุ่น โดยรวม และในแต่ละด้าน จา แนกตาม เพศ และผล
การเรียนเฉลี่ย กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาการจัดการทรัพยากรมนุษย์แบบญี่ปุ่นที่ลงทะเบียนวิชา
จิตวิทยามนุษย์และองค์การ ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2561 จา นวน 37 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน การทดสอบที และการวิเคราะห์ค่าความแปรปรวนแบบทางเดียว จากการทดสอบ
สมมติฐานโดยใช้สถิติ t-test เปรียบเทียบทัศนคติของนักศึกษาที่มีต่อการพัฒนาผลการเรียนรู้วิชา
จิตวิทยามนุษย์และองค์การ พบว่า เพศต่างกันมีระดับความคิดเห็นต่อการพัฒนาผลการเรียนรู้วิชา
จิตวิทยามนุษย์และองค์การไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ นักศึกษาที่มีผล
การเรียนเฉลี่ยต่างกันทัศนคติต่อการพัฒนาผลการเรียนรู้วิชาจิตวิทยามนุษย์และองค์การ ด้านทักษะ
การวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่
ระดับ 0.05 ส่วนด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านความรู้ ด้านทักษะทางปัญญา ด้านทักษะความสัมพันธ์
ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ และด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้
Full Text : Download! |
||
3. | รายงานการวิจัย การศึกษาเปรียบเทียบการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์องค์กรทุนไทย องค์กรร่วมทุนญีปุ่่นหรือองค์กรทุนญีปุ่่น [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : เอิบ พงบุหงอ, บุญญาดา นาสมบูรณ์ | ||
การศึกษาเปรียบเทียบแนวโน้มงานทรัพยากรมนุษย์ในประเทศอาเซียนปี พ.ศ.2557-2558 (จิรประภา อัครบวร,2557) เป็นกรอบแนวคิดในการศึกษาในครั้งนี้ ซึ่งประกอบด้วย 9 ด้าน คือ (1) การวางแผนกำลังคน (2) การสรรหาและคัดเลือก (3) พนักงานสัมพันธ์และแรงงานสัมพันธ์ (4) การจัดการค่าตอบแทนและสวัสดิการ (5) การฝึกอบรมและพัฒนา (6) การบริหารผลการปฏิบัติงาน (7) การพัฒนาองค์การ (8) การพัฒนาสายอาชีพ และ (9) การดำเนินการด้านความรับผิดชอบต่อสังคม มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษยื เปรียบเทียบองค์กรทุนไทยองค์กรร่วมทุนญี่ปุ่นหรือองค์กรทุนญี่ปุ่น ใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูล สถิติที่ใช้วิเคราะห์ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าคะแนนเฉลี่ย (Mean) ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และ Pearson Chi-Square กลุ่มตัวอย่างองค์กรทุนไทย องค์กรร่วมทุนญี่ปุ่นหรือองค์กรทุนญี่ปุ่น
ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างทั้งหมด มีระบบการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ครบทั้ง 9 ด้านไม่แตกต่าง รวมทั้งพบว่าระบบการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ ส่งผลต่อ (1) ด้านประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงาน อย่างมีนัยสำคัญ 0.05 (2) ด้านการสร้างภาพลักษณ์ อย่างมีนัยสำคัญ 0.05 (3) ด้านการสร้างขวัญและกำลังใจ อย่างมีนัยสำคัญ 0.05 และ (4) ด้านการสร้างความผูกพันของบุคลากรต่อองค์การ อย่างมีนัยสำคัญ 0.05
Full Text : Download! |
||
4. | รายงานการวิจัย บุพปัจจัยที่ส่งผลต่อความผุกพันธ์องค์กรของล่ามภาษาญี่ปุ่น [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : สรรเสริญ สัตถาวร | ||
งานวิจัยชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาอิทธิพลของ ตัวแปรด้านแรงจูงใจระดับบุคคลคือระหว่างความพึงพอใจในอาชีพ ความผูกพันในอาชีพ และการสนับสนุนของหัวหน้าที่มีต่อความผูกพันองค์กรของล่ามภาษาญี่ปุ่น เป็นการวิจัยเชิงสารวจกับกลุ่มตัวอย่างคือล่ามภาษาญี่ปุ่นจำนวน133คนที่ทำงานอยู่ในบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย และสถานพยาบาลเอกชนที่ให้บริการล่ามภาษาญี่ปุ่นทั่วประเทศ ผลการศึกษาพบว่า 85% ของผู้ประกอบอาชีพล่ามเป็นผู้หญิง มีประสบการณ์ในการทำงานล่ามมากกว่า 5 ปีถึง 46% แต่ในจำนวนกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดที่ศึกษาพบว่าส่วนใหญ่(กว่า 50 %)มีประสบการณ์ในการทำงานในองค์กรที่สังกัดอยู่ไม่เกิน 3 ปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนนายจ้างของล่ามซึ่งมากที่สุดถึง10 ครั้ง ด้านผลตอบแทน พบว่า34 % เงินเดือนมากกว่า 50,000 บาท นอกจากนั้นยังพบว่าล่ามยังมีบทบาทรองนอกเหนือจากการแปลเอกสารและล่ามใน 3 ลักษณะงานคืองานธุรการเอกสาร/ข้อมูล งานเลขานุการและงานประสานงานติดต่อลูกค้า ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่าการรับรู้ความพึงพอใจในอาชีพ ความผูกพันในอาชีพ และการสนับสนุนของหัวหน้างานมีความสัมพันธ์ และส่งผลต่อความผูกพันองค์กรของล่ามภาษาญี่ปุ่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งเป็นการยอมรับสมมติฐานการวิจัย ผลการวิจัยสามารถนำไปใช้ในการกำหนดนโยบายการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เช่น การกำหนดลักษณะงานที่ชัดเจนทั้งบทบาทหลักและบทบาทรอง การ สร้างเสันทางอาชีพให้กับล่าม โดยอาศัยทักษะความสามารถตามบทบาทดังกล่าว การประเมินผลงานตามทักษะความสามารถของล่าม การพัฒนาหัวหน้างานในการรับฟัง ให้คำแนะนา และร่วมกำหนดเป้าหมายร่วมกันกับลูกน้องซึ่งทำงานล่าม รวมทั้งการพัฒนาทักษะอื่นๆของผู้เรียนภาษาญี่ปุ่นเพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นล่าม เช่น ภาษาต่างประเทศที่สอง ทักษะการให้บร
Full Text : Download! |
||
5. | รายงานการวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบรูปแบบค่าตอบแทนและสวัสดิการแรงงานของพนักงาน บริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม จังหวัดสมุทรปราการ [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : รุ่งอรุณ กระแสร์สินธุ์ | ||
การวิจัยเรื่อง “การเปรียบเทียบรูปแบบค่าตอบแทนและสวัสดิการแรงงานของพนักงานบริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม จังหวัดสมุทรปราการ” ในครั้งนี้มุ่งเน้นการศึกษาค่าตอบแทนทางการเงิน และค่าตอบแทนที่ไม่ใช่ทางการเงินที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน เพื่อเสนอแนวทางในการจัดการค่าตอบแทนและสวัสดิการ ให้กับบริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในเขตจังหวัดสมุทรปราการ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ ได้แก่ แบบสอบถาม จากการแจกแบบสอบถามให้กับพนักงานทุกระดับ ทุกฝ่าย จำนวน 400 คน ผลการศึกษา พบว่าปัจจัยค่าตอบแทนที่ไม่ใช่ทางการเงิน ด้านสภาพแวดล้อม เป็นปัจจัยมีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงาน อยู่ในระดับมาก ได้แก่ พนักงานมีความเห็นว่าอาคาร สถานที่ทำงาน มีความเหมาะสมกับลักษณะขององค์กรรวมถึงสภาพแวดล้อมขององค์กรโดยทั่วไป ทำให้พนักงานมีความกระตือรือร้นในการปฏิบัติงานและพนักงานมีความเห็นว่าองค์กรมีสถานที่ทำงานที่มีความสะอาดและเป็นระเบียบ ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในเขตจังหวัดสมุทรปราการ
Full Text : Download! |
||
6. | รายงานการวิจัยเรื่อง การยกระดับผลิตภาพของธุรกิจบริการ: ทฤษฎี แนววิธี ปัญหาและความแน่นอนของโมเดลการวัดผลิตภาพ และ กรณีศึกษาในธุรกิจบริการที่สำคัญในประเทศไทย [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : รังสรรค์ เลิศในสัตย์ | ||
วัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้ คือเพื่อศึกษาถึง 1) ทฤษฎี แนววิธี ปัญหา และความ
แน่นอนของโมเดลการวัดผลิตภาพสาหรับภาคบริการโดยรวม 2) โมเดลการวัดผลิตภาพและ
ประสิทธิภาพของภาคบริการเฉพาะประเภท โดยคัดเลือกบางประเภทที่สำคัญ 3) แนวทางการ
ยกระดับผลิตภาพและประสิทธิภาพของภาคบริการของประเทศไทย
ในการวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาทฤษฎีที่เกี่ยวกับผลิตภาพ ประสิทธิภาพ โดยรวมรวบ
ผลงานวิจัยบทความวิชาการ จากภายในและภายนอกประเทศ ทาการประมวลและเปรียบเทียบ
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนววิธี ปัญหา และ โมเดลการวัดผลิตภาพและประสิทธิภาพ
จากการศึกษาทฤษฎีต่างๆ พบว่า โมเดลการวัดผลิตภาพที่ใช้กับธุรกิจบริการส่วนใหญ่
ประยุกต์จากการวัดผลิตภาพที่ใช้กับอุตสาหกรรมการผลิต คือการใช้ Output หารด้วย Input
ปัจจัยที่ใช้ในการวัดผลิตภาพมี ทุน แรงงาน และปัจจัยผลิตภาพโดยรวม (ส่วนอื่น นอกจาก ทุน
และ แรงงาน) พบปัญหาว่า ปัจจัยผลิตภาพโดยรวมนี้ไม่สามารถวัดในเชิงปริมาณได้ จึงเป็น
ปัญหาในการวัดผลิตภาพ ยังมีปัญหาความไม่ชัดเจนระหว่างผลิตภาพกับประสิทธิภาพ รวมทั้ง
การต้องคา นึงถึงคุณภาพในการบริการหากต้องการมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น
โมเดลการวัดอีกอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมในการวัดผลิตภาพ คือ การวัดจากดัชนีทาง
การเงิน จึงได้ทำการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลดัชนีทางการเงิน ของ 4 ธุรกิจบริการของไทย
โดยเลือกประเภทของบริการที่มีลักษณะธุรกิจที่แตกต่างกัน ได้แก่ ธุรกิจภัตตาคารและร้านอาหาร
ธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท ธุรกิจการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า และ ธุรกิจธนาคารพาณิชย์
ข้อมูลทางการเงินนั้น ได้รวบรวมมาจากคลังข้อมูลธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
กระทรวงพาณิชย์ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะทางการเงิน งบกำไรขาดทุน และ อัตราส่วนทาง
การเงิน ของปีง
Full Text : Download! |
||
7. | รายงานการวิจัย อิทธิพลของการรับรู้คุณค่าตราสินค้าผ่านสื่อสังคมออนไลน์กลุ่มยานยนต์ ที่มีผลต่อคุณค่าของการแบ่งปันทางอิเล็กทรอนิกส์ และความผูกพันตราสินค้าของผู้บริโภค [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : สุรสิทธิ์ อุดมธนวงศ์ | ||
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษารูปแบบการรับรู้คุณค่าตราสินค้าผ่านสื่อโฆษณาสังคมออนไลน์ ที่มีผลต่อคุณค่าของการแบ่งปันทางอิเล็กทรอนิกส์ และความผูกพันตราสินค้า และ(2) เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลเชิงสาเหตุอิทธิพลของการรับรู้คุณค่าตราสินค้าผ่านสื่อโฆษณาสังคมออนไลน์ ภาพลักษณ์ตราสินค้า ที่มีต่อความไว้วางใจตราสินค้า คุณค่าของการแบ่งปันทางอิเล็กทรอนิกส์ และความผูกพันตราสินค้า การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้วิธีการสารวจโดยใช้แบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นนักศึกษาระดับอุดมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานครจานวน 400คน โดยมีตัวแปรในสมการเชิงโครงสร้าง ได้แก่ การรับคุณค่าตราสินค้าผ่านสื่อสังคมออนไลน์(เฟซบุ๊ก ยูทูบ ไลน์ และอินสตาแกรม) ภาพลักษณ์ตราสินค้า ความไว้วางใจตราสินค้า คุณค่าของการแบ่งปันทางอิเล็กทรอนิกส์ และความผูกพันตราสินค้า สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยวิเคราะห์สมการโครงสร้างด้วย Smart PLS 3.0
ผลการศึกษา พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามโดยส่วนใหญ่เป็นเพศชาย กาลังศึกษาชั้นปีที่ 3 มีรายรับต่อเดือน 6,000-12,000 บาท ในด้านพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ส่วนใหญ่จะใช้บริการสื่อสังคมออนไลน์ในช่วงเวลา18.01-24.00 น จากอุปกรณ์สมาร์ทโฟน โดยจานวนรวมระยะเวลาต่อวันในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ มากกว่า 5 ชั่วโมงแต่ไม่เกิน 7 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งกิจกรรมที่ทาจากการใช้สื่อสังคมออนไลน์ คือ คุยสนทนากับบุคคลที่เป็นสมาชิกร่วมกัน, ติดตามข่าวสาร และค้นหาข้อมูล ส่วนสถานที่ในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในแต่ละวันจะเป็นบ้าน/หอพัก และสถานศึกษา จากสมการเชิงโครงสร้างพบว่า การรับรู้คุณค่าตราสินค้าผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (เฟซบุ๊ก) และภาพลักษณ์ตราสินค้ามีอิทธิพลต่อคว
Full Text : Download! |
||
8. | รายงานผลการวิจัยเรื่อง การปรับปรุงงานมาตรฐานด้วยเทคนิคการวิเคราะห์ Video Time and Motion Study Software ในภาคธุรกิจอุตสาหกรรมการณ์เม้นต์ [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : วิฐิณัฐ ภัคพรหมินทร์ | ||
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการลดรอบเวลาการทำงานด้วยการปรับปรุงงานมาตรฐานโดยเทคนิคการวิเคราะห์ด้วย Video และการศึกษาการเคลื่อนไหวในการทำงานโดยใช้โปรแกรม Guide Development type work Analysis Software (Time Prism) Ver.1.9.0 ในการวิเคราะห์และการพัฒนาปรับปรุงงานโดยใช้กรณีศึกษาจาก บริษัท วิ.ที.การ์เม้นต์ จำกัด ของกระบวนการผลิตแผนกเย็บเสื้อแจ๊คเก็ต ลูกค้า Mont-Bell จากการศึกษาสภาพปัจจุบันผลผลิตไม่ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดคือ 114 ตัวต่อวัน จากเป้าหมายที่กำหนด 190 ตัวต่อวัน และได้ดำเนินการบันทึกภาพ VDO ในกลุ่มงานขั้นตอนที่ 9 เพื่อศึกษารอบเวลาการทำงานผลที่ได้คือ ใช้เวลาทำงานเท่ากับ 4.50 นาทีต่อชิ้น และเมื่อเทียบกับ Takt time เท่ากับ 3.42 นาทีต่อชิ้นแสดงให้เห็นว่าปัจจุบันพนักงานทำงานรอบเวลาการทำงานนั้นสูงมากกว่า Takt time ส่งผลให้ไม่สามารถผลิตเสื้อแจ๊คเก๊ตได้ตามเป้าหมาย
ผลการปรับปรุงโดยศึกษาขั้นตอนการทำงานโดยการวิเคราะห์การปรับปรุงการทำงานโดยใช้โปรแกรม Time Prism และหลักการของการศึกษาการทำงาน ECRS ในการจัด Layout และจัดลำดับขั้นตอนการทำงานใหม่เพื่อลดความสูญเปล่าจากการเคลื่อนไหวของพนักงานที่ไม่ได้เกิดมูลค่าจากการทำงานสั่งผลให้รอบเวลาการทำงานลดลงจากก่อนการปรับปรุง 4.50 นาทีต่อชิ้น เป็นหลังการปรับปรุง 3.37 นาทีต่อชิ้น ผลต่างของรอบเวลาทำงานลดลงเป็น 1.13 นาที คิดเป็นร้อยละ 25.11 และส่งผลให้ผลผลิตจากเดิม 114 ตัวต่อวัน ส่วนหลังปรับปรุง 195 ตัวต่อวันคิดเป็นผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 71.05
Full Text : Download! |
||
9. | รายงานการวิจัย อิทธิพลของแรงจูงใจที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์การท่องเที่ยวเชิงกีฬาจังหวัดภูเก็ต กรณีศึกษา อีเวนต์มาราธอน [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : สุรสิทธิ์ อุดมธนวงศ์ | ||
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาระดับอิทธิพลของแรงจูงใจในการท่องเที่ยวเชิงกีฬาต่อผลสัมฤทธิ์การท่องเที่ยวเชิงกีฬา และ (2) เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลเชิงสาเหตุอิทธิพลของแรงจูงใจในการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ที่ส่งผลต่อการตลาดเชิงประสบการณ์ การรับรู้คุณค่า และผลสัมฤทธิ์การท่องเที่ยวเชิงกีฬา (ด้านความพึงพอใจ ด้านการกลับมาเที่ยวซํ้า และด้านการบอกต่อ) การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้วิธีการสำรวจจากแบบสอบถามกับตัวอย่างที่เป็นผู้เข้าร่วมกิจกรรมอีเวนต์มาราธอน จังหวัดภูเก็ต จำนวน 400 คน โดยมีตัวแปรในสมการเชิงโครงสร้าง ได้แก่ แรงจูงใจ การตลาดเชิงประสบการณ์ การรับคุณค่า และผลสัมฤทธิ์การท่องเที่ยวเชิงกีฬา วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์ตัวแบบสมการโครงสร้างด้วย Smart PLS 3.0
ผลการศึกษา พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 400 คนโดยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ
30 -39 ปี มีสถานภาพโสด โดยระดับการศึกษาหรือกำลังศึกษา ส่วนใหญ่มีระดับการศึกษาหรือกำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี มีรายได้ต่อเดือน 20,001 – 30,000 บาทต่อเดือน และส่วนใหญ่จะมีอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชน / ลูกจ้าง ในด้านลักษณะพฤติกรรมการเข้าร่วมอีเวนต์มาราธอน ส่วนใหญ่มีประสบการณ์ในการเข้าร่วมเป็นปีแรก มีการเข้าร่วมงานอีเวนต์มาราธอนเฉลี่ย 2 – 5 ครั้งต่อปี โดยในช่วงเวลาการเข้าร่วมอีเวนต์มาราธอน(เวลาเริ่มวิ่ง) ส่วนใหญ่จะเข้าร่วมเข้าร่วมช่วงเวลา 6.01 – 18.00 น โดยมาร่วมกิจกรรมกับเพื่อนที่ทำงาน จะใช้เวลาเดินทางไป-กลับ เป็นระยะเวลา 2 – 3 วัน และจะพักที่โรงแรม ค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการเข้าร่วมอีเวนต์มาราธอน (ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการเดินทางไป-กลับ) จะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า 5,000 บ
Full Text : Download! |
||
10. | รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ ผลกระทบของคุณลักษณะองค์กรและประสิทธิผลของการดำเนินงานที่มีต่อประสิทธิภาพการตัดสินใจเพื่อหาแหล่งเงินทุนของผู้บริหารธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเขตกรุงเทพมหานคร [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : เฉลิมขวัญ ครุธบุญยงค์ | ||
การวิจัยผลกระทบของคุณลักษณะองค์กรและประสิทธิผลของการดำเนินงานที่มีต่อประสิทธิภาพการตัดสินใจเพื่อหาแหล่งเงินทุนของผู้บริหารธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเขตกรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์
เพื่อศึกษาผลกระทบของคุณลักษณะขององค์กรและประสิทธิผลของการดำเนินงานที่มีต่อประสิทธิภาพการ
ตัดสินใจ เพื่อหาแหล่งเงินทุนของผู้บริหารธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 391 ผลการวิจัยพบว่า คุณลักษณะองค์กร ด้านนโยบาย ด้านโครงสร้างและด้านวัฒนธรรม ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการตัดสินใจของผู้บริหารทุกด้าน ประสิทธิผลของการดำเนินงานมีผลกระทบเชิงบวก คุณลักษณะองค์กรด้านนโยบาย ด้านโครงสร้าง ด้านวัฒนธรรม และประสิทธิผลของการดำเนินงาน แตกต่างกัน ส่งผลกระทบประสิทธิภาพการตัดสินใจไม่แตกต่างกันทุกด้าน ข้อเสนอแนะจากการวิจัย ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีวงจรชีวิตธุรกิจสั้น มีการเลิกกิจการเร็วและเลิกกิจการเป็นจำนวนมากในแต่ละปี ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs)ที่เตรียมตัวสู่การเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพ (Start Up) ในอนาคต ควรมีผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพในการตัดสินใจ กำหนดนโยบายองค์กรชัดเจน โครงสร้างองค์กรไม่ซับซ้อน สร้างวัฒนธรรมองค์กรให้บุคลากรทุกคนร่วมมือกันและมีความสุขกับการทำงานเพื่อนาไปสู่การเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพที่สอดคล้องกับการสนับสนุนของภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง
Full Text : Download! |
||
Center of Academic Resource
Institute of Technology 1771/1, E Building, Fl. 2,
Pattanakarn Rd, Suan Luang, Bangkok, 10250