fieldjournalid
![]() | สารนิพนธ์ (MBI) 2021 |
1. | การศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจเคลือบสีฝุ่นในประเทศไทย [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : ภากร ท่าไม้สุข | ||
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างธุรกิจเคลือบสีฝุ่น
และนำมาใช้เป็นแนวทางในการจัดทำแผนให้เกิดประสบความสำเร็จในการลงทุนวิธีดำเนินการ
วิจัยโดยใช้การวิเคราะห์โครงสร้างอุตสาหกรรมทั้งปัจจัยภายในและภายนอกโดยการนำแนวคิด
และทฤษฎี PEST การวิเคราะห์สภาวะการแข่งขันหลักการ Five Force Model มาวิเคราะห์และ
นำไปวางกลยุทธ์อีกทั้ง การวิเคราะห์ปัจจัยของธุรกิจโดยใช้แนวคิด TOWS เพื่อวางกลยุทธ์ของ
ธุรกิจให้มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่วางไว้รวมถึงวิเคราะห์ผลตอบแทนจากการลงทุน
เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในการประกอบธุรกิจ
ผลการวิจัยพบว่าผลการทำแผนธุรกิจพบว่าโครงการมีความน่าสนใจในการลงทุนและ
หวังว่าแผนธุรกิจฉบับนี้จำทำให้เกิดขึ้นจริงอีกทั้ง เมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ของโครงการคือ
โครงการนี้ใช้เงินลงทุนรวม 7,897,000 บาทโดยเป็นเงินลงทุนของตนเองไม่มีการกู้ยืมจากการ
วิเคราะห์คาดว่าธุรกิจจะมีระยะเวลาคืนทุนประมาณ 2 ปี 1 เดือน แต่ไม่เกิน 3 ปีและมีผลตอบแทน
IRR ของธุรกิจอยู่ที่ 44% มูลค่าของเงินสุทธิ NPV = 10,149,314 บาท
Full Text : Download! |
||
2. | การศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจทำราวจับ (Grab Bar) สเตนเลสสำหรับผู้สูงอายุ [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : พรรษพร ลิมปิโชติกุล | ||
ในการศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจทำราวจับ (Grab Bar) สเตนเลสสำหรับผู้สูงอายุนี้
มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบและขัน้ ตอนการวางแผนธุรกิจ ศึกษาการใช้เครื่องมือต่างๆ ใน
การวิเคราะห์สภาวะแวดล้อมภายในและภายนอกของธุรกิจ พิจารณาแนวโน้มของตลาด ประเมิน
ความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่ง และความเป็นไปได้ในการทำธุรกิจราวจับสเตนเลส ซึ่งรูปแบบ
ของธุรกิจ คือ การผลิตราวจับจากท่อสเตนเลส รวมทัั้ง มีบริการออกแบบและติดตั้ง เพื่อให้สอดคล้อง
กับสังคมปัจจุบันซึ่งมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น
เมื่อพิจารณาข้อมูลสภาพแวดล้อมและการวิเคราะห์คู่แข่งซึ่งพบว่าธุรกิจมีจุดแข็งที่
แตกต่างจากคู่แข่ง คือ การบริการออกแบบและติดตั้ง ดังนั้นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ควรทำ คือ
การให้ความสำคัญกับขั้นตอนบริการลูกค้า
ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการลงทุนทำธุรกิจราวจับสเตนเลสมีความเป็นไปได้ โดย
การใช้เงินทุนเรมิ่ แรก 3,696,000 บาท การประมาณการเติบโตของธุรกิจร้อยละ 10 ต่อปี จะทำ
ให้ระยะเวลาคืนทุนของกิจการอยู่ที่ 3 ปี 1 เดือน มีอัตราผลตอบแทนภายในร้อยละ 29.9 แต่ธุรกิจ
ยังมีความเสี่ยงสูงเนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพมิ่ ขึ้นโดยที่ไม่สามารถควบคุมได้และสถานการณ์
โรคระบาดที่อาจส่งผลต่อการเดินทางติดต่อลูกค้า
Full Text : Download! |
||
3. | การลดของเสียในกระบวนการชุบฐานรองฮาร์ดดิสด้วยแนวคิด QC 7 Tools [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : พงพิพัฒน์ สีทาพุฒิ | ||
การศึกษาเรื่อง การลดของเสียในกระบวนการชุบฐานรองฮาร์ดดิสด้วยแนวคิด QC 7
Tools โรงงานที่ทำการศึกษาเป็นอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ทำการขึ้นรูปฐานรองฮาร์ดดิส ชุบสี
และส่งต่อให้กับโรงงานประกอบ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและหาแนวทาง
ในการลดของเสียจากกระบวนการผลิต โดยการนำหลักการ QC 7 Tools มาใช้
จากการเก็บข้อมูลสภาพปัจจุบัน ตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2563 ถึง มกราคม 2564 จากนั้น
นำมาแจกแจงแยกแยะประเภท และจำนวนของเสียด้วยแผนภูมิพาเรโต พบว่า ของเสียสะสม
อันดับ 1 คือ ของเสียจากสิ่งแปลกปลอม (Foreign Material) คิดเป็น 49.7 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 2
คือ ของเสียจากเส้นใย (Fiber) คิดเป็น 33.0 เปอร์เซ็นต์ ของของเสียรวม ผู้ศึกษาได้นำปัญหา
ลำดับที่ 2 มาทำการแก้ไข ด้วยเหตุที่ว่า ลักษณะของของเสียมีความชัดเจนกว่า ของเสียลำดับที่ 1
ซึ่งผู้ศึกษาพิจารณาแล้วว่าของเสียจากเส้นใย (Fiber) สามารถแก้ไขได้รวดเร็วกว่า และจะสามารถ
ลดของเสียได้รวดเร็ว ส่งผลให้ของเสียรวมของกระบวนการลดลงได้เร็ว ทำให้บริษัทลดต้นทุนได้
รวดเร็วขึ้น จากนั้นทำการวิเคราะห์หาต้นเหตุของปัญหาด้วยผังก้างปลา และการยืนยันแหล่ง
ของสาเหตุของปัญหาด้วยเครื่องมือ FT-IR เพื่อดูโครงสร้างเส้นใย พบว่า เส้นใยที่ติดที่ชิ้นงาน
ตรงกับเส้นใยจากผ้ากันเปื้อน ถุงมือผ้า และเศษผ้า จึงได้ทำการแก้ไข โดยการจัดหาวัสดุอื่นมา
ทดแทนวัสดุที่ผลิตจากเส้นใย Cotton ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้งาน
หลังจากการดำเนินการแก้ไขปรับปรุงได้ทำการเก็บข้อมูล พบว่า ของเสียจากเส้นใย
(Fiber) ลดลงจากเดิม 0.19 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 0.06 เปอร์เซ็นต์ ของยอดการผลิต ของเสียลดลง
คิดเป็นร้อยละ 68.4 และส่งผลทำให้ของเสียรวมเฉลี่ยลดลงจากเดิม 0.56 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 0.30
เป
Full Text : Download! |
||
4. | การศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจน้ำจิ้มบรรจุซองในประเทศไทย [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : รอมฎอน วัชระพิสุทธิ์ | ||
การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการประกอบกิจการ “โรงงาน
ผลิตน้ำจิ้มบรรจุซองในตำนาน” โดยเป็นการรับจ้างผลิตแบบจำนวนน้อยสำหรับผู้ประกอบการ
ร้านอาหารทั่วไป จากการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ พบว่า ปัจจัยที่เอื้อต่อการทำธุรกิจนี้คือสถานการณ์
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ส่งผลให้พฤติกรรมการบริโภคอาหารของ
ผู้บริโภคเปลี่ยนไป ทำให้ผู้บริโภคสั่งอาหารผ่านทางฟู้ดเดลิเวอรี่สูงขึ้น ขณะที่ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่
ที่สุดอยู่ที่คู่แข่งรายใหม่และสินค้าทดแทน จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการร้านอาหารพบว่า
ความคิดเห็นของผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความหลากหลาย มีโอกาสที่จะขายสินค้าและบริการได้
จากการศึกษาพบว่ามีความเป็นไปได้ในการดำเนินธุรกิจนี้ เมื่อจำลองแผนการเงินโดย
ใช้งบประมาณการลงทุนจำนวน 554,000 บาท และเงินกู้อีกจำนวน 550,000 บาท เป็นระยะ
เวลา 5 ปี อัตราผลตอบแทนโครงการ (IRR) เท่ากับ 7% และ มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ที่อัตรา
ผลตอบแทนที่ 5% อยู่ที่ 72,495 บาท มีระยะเวลาคืนทุน 4 ปี 11 เดือนในสถานการณ์ปกติ
Full Text : Download! |
||
5. | การศึกษาความคุ้มค่าในการลงทุนทำธุรกิจสำหรับการใช้เครื่องพ่น AIRSON STA ด้วยเทคโนโลยีแบบนาโนพลาสมา [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : ดุจดาว ศรีสำราญ | ||
จากการศึกษาความคุ้มค่าในการลงทุนทำธุรกิจสำหรับการใช้เครื่องพ่น AirSON STA
ด้วยเทคโนโลยีแบบนาโนพลาสมา จะเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็น กลุ่มโรงพยาบาล เนื่องจาก ผู้แข่งขัน
ในกลุ่มธุรกิจเดียวกันมีจำนวนมากและเน้นกลุ่มลูกค้า Home Use เป็นหลัก ซึ่งมีการแข่งขันราคาสูง
แต่ในกลุ่มโรงพยาบาลยังไม่มีคู่แข่งขัน เนื่องด้วย กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาล การตัดสินใจเลือกใช้
ผลิตภัณฑ์หรือตัดสินใจซื้อจะยากกว่าและ Base on คุณภาพที่มีมาตรฐานรับรองนอกจากตัวผลิตภัณฑ์
น้ำยาแล้วยังมีผลิตผลิตภัณฑ์ของตัวเครื่องพ่นอบฆ่าเชื้อ ซึ่งธุรกิจนี้บริษัทได้นำเทคโนโลยีมาพัฒนา
ผลิตภัณฑ์โดยใช้หลักการการทำปราศจากเชื้อเช่นเดียวกับกลุ่มเครื่องมือแพทย์ทำให้แนวทาง
การทำตลาดจะแตกต่างจากกลุ่ม Home Use ตลอดถึงการลงทุนศึกษาในรูปแบบการให้บริการ
พ่นอบฆ่าเชื้อ โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในบริษัทในการขยายการให้บริการโดยใช้กลยุทธ์เชิงรุก
(Intensive Growth Strategy) เน้นการพัฒนา Product Innovation & Development โดยเทคโนโลยี
และนวัตกรรมของเครื่องพ่นอบฆ่าเชื้อ AirsonSTA มีการทำวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีการรองรับ
และยากต่อการเลียนแบบ รวมถึงบุคคลากรที่ให้บริการที่มีความเฉพาะทางและเชี่ยวชาญซึ่งเป็น
ข้อดีที่สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ทำให้ธุรกิจนี้มีความได้เปรียบและสร้างความยัง่ ยืนได้นาน
ด้วยตัวผลิตภัณฑ์เองที่สามารถปรับเข้าไปใช้ในกลุ่มครัวเรือนได้ในอนาคต หรือที่เรียกกันว่า Home
Use New Normal
จากการศึกษาการจัดตั้งงบประมาณสำหรับบริการใหม่ โดยใช้งบประมาณที่ 1,114,000
บาท ซึ่งคิดค่าบริการเป็นลูกบาศก์เมตรละ 8 บาทโดยอัตรากำไรขัน้ ต้นที่ 45.83% โดยจุดคุ้มทุน
พื้นที่การพ่นอบบริการฆ่าเชื้อ ที่จำนวน 16,620.75 ลูกบาศก์เมตรต่อเดือน NPV > 0 ยอมรับ
การ
Full Text : Download! |
||
6. | พฤติกรรมการเปิดรับสื่อ และทัศนคติต่อกิจกรรมของผู้มีชื่อเสียงที่ส่งผลต่อคุณค่าของตราสินค้า : กรณีศึกษา คุณอาทิวราห์ คงมาลัย (ตูน บอดี้สแลม) [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : กฤติน สังข์บูรณ์ | ||
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 4 ประการ ได้แก่ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเปิดรับสื่อ
ต่อกิจกรรมของผู้มีชื่อเสียง 2) เพื่อศึกษาทัศนคติต่อกิจกรรมของผู้มีชื่อเสียง 3) เพื่อศึกษาพฤติกรรม
การเปิดรับสื่อต่อผู้มีชื่อเสียง ที่ส่งผลต่อคุณค่าของตราสินค้า 4) เพื่อศึกษาทัศนคติต่อกิจกรรมของ
ผู้มีชื่อเสียง ที่ส่งผลต่อคุณค่าของตราสินค้า
การวิจัยครั้งนี้เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง โดยคัดเลือกเฉพาะผู้ที่รู้จัก คุณอาทิวราห์
คงมาลัย (ตูน บอดี้สแลม) จำนวน 270 ตัวอย่าง โดยใช้สถิติเชิงอนุมาน Multiple Regression
การวิจัยนี้มีข้อค้นพบสำคัญ ได้แก่ 1) การเชิญคุณตูน บอดี้สแลม เป็นตัวแทนในการโฆษณา
ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารของสินค้าหรือบริการ รวมถึงข้อมูลข่าวสารขององค์กร และเพิ่มกิจกรรม
ต่างๆ ให้ผู้บริโภคได้สามารถมีส่วนร่วม ซึ่งมีการเชื่อมโยงความสัมพันธ์กันระหว่างคุณตูน บอดี้สแลม
และองค์กร ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ ได้ให้ความสำคัญกับการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบ
การดำเนินชีวิตของ คุณตูน บอดี้สแลม การค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับผลงานเพลงของคุณ ตูน บอดี้สแลม
และการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับ คุณตูน บอดี้สแลม ซึ่งจะส่งผลต่อ
คุณค่าของตราสินค้าขององค์กร 2) การมีทัศนคติที่จะตั้งใจที่จะติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ
คุณตูน บอดี้สแลม เป็นประจำสม่ำเสมอ ซึ่งจะส่งผลต่อคุณค่าของตราสินค้า ก่อให้เกิดประโยชน์
กับองค์กรได้ และผู้ประกอบการสามารถนำผลวิจัยดังกล่าวไปส่งเสริมนโยบายที่มีส่วนร่วมกับ
ผลงานเพลงของ คุณตูน บอดี้สแลม ความตั้งใจที่จะสนับสนุนผลงานเพลงของ คุณตูน บอดี้สแลม
ของผู้ตอบแบบสอบถามจะสามารถส่งผลต่อคุณค่าของตราสินค้าขององค์กรได้ อีกทั้งสามารถมี
นโยบายที่ส่งเสริมให้ คุณตูน บอดี้สแลม ใ
Full Text : Download! |
||
7. | ส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อเจตนาซื้อเครื่องปรุงรสประเภทน้ำจิ้มสุกี้ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : ณัฐกานต์ วิเศษภักดีวงศ์ | ||
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อเจตนาซื้อ
เครื่องปรุงรสประเภทน้ำจิ้มสุกี้ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยสารวจ
จากการสุ่มตัวอย่างจำนวน 304 คน โดยใช้วิธีการเก็บแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้
ประกอบด้วย สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ
สถิติเชิงอนุมาน และวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงพหุคูณตามวิธี Stepwise ซึ่งสามารถสรุปผล
วิจัยได้ดังนี้ (1) ปัจจัยส่วนบุคคล ผู้ตอบแบบสอบถามที่ตัดสินใจซื้อเครื่องปรุงรสประเภทน้ำจิ้มสุ
กี้ ส่วนใหญ่มีอายุ 21-40 ปี วุฒิการศึกษาปริญญาตรี รายได้ 20,001-30,000 บาท ประกอบ
อาชีพพนักงานบริษัท จำนวนสมาชิกในครอบครัว 4-5 คน และอาศัยอยู่ในกรุงเทพ (2) ด้าน
พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อเครื่องปรุงรสประเภทน้ำจิ้มสุกี้ของผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่ใช้
ค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำจิ้มสุกี้ในแต่ละครั้ง 101-200 บาท ช่องทางการซื้อซุปเปอร์เซ็นเตอร์ (เช่น
โลตัส, บิ๊กซี) และนิยมซื้อยี่ห้อพันท้ายนรสิงห์ (3) ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับปัจจัย
ส่วนประสมทางการตลาด ด้านช่องทางการจำหน่าย (Place) มากที่สุด รองลงมา คือ ด้านราคา
(Price) ด้านผลิตภัณฑ์ (Product) และด้านการส่งเสริมการตลาด (Promotion) ตามลำดับ (4)
ผลการทดสอบสมมติฐานปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดมีผลต่อเจตนาซื้อเครื่องปรุงรสประเภท
น้ำจิ้มสุกี้ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลพบว่าปัจจัยส่วนประสมทาง
การตลาดด้านราคามีผลต่อการตัดสินใจซื้อเครื่องปรุงรสประเภทน้ำจิ้มสุกี้มากที่สุด รองลงมา
คือ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย
Full Text : Download! |
||
8. | ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการยอมรับบรรจุภัณฑ์อาหารประเภทรักษาสิ่งแวดล้อม [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : ปริญดา ทองกิ่งแก้ว | ||
งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการยอมรับบรรจุภัณฑ์อาหารแบบทั่วไปและแบบรักษาสิ่งแวดล้อม ศึกษาระดับอิทธิพลของปัจจัยที่มีผลตัดสินใจซื้อ ศึกษากลุ่มเป้าหมายและแนวทางการทำธุรกิจบรรจุภัณฑ์อาหารประเภทรักษาสิ่งแวดล้อม โดยสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างที่คนไทยที่มีอายุ1201ปีขึ้นไป14181คน วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสร้างแบบสอบถามเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน โดยประเมินค่าพารามิเตอร์คือการวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณตามวิธีของ Stepwise
ปัจจัยที่มีอิทธิพลการยอมรับบรรจุภัณฑ์อาหารแบบทั่วไปและแบบรักษาสิ่งแวดล้อมต่อการยอมรับบรรจุภัณฑ์อาหารได้แก่ 1) ปัจจัยด้านคุณภาพ 2) ปัจจัยด้านราคา 3) ปัจจัยด้านภาพลักษณ์ 4) ปัจจัยด้านลักษณะภายนอก กลุ่มตัวอย่างให้การยอมรับปัจจัยด้านลักษณะภายนอกของบรรจุภัณฑ์อาหารทั่วไปมากกว่าบรรจุภัณฑ์อาหารประเภทรักษาสิ่งแวดล้อมและให้การยอมรับปัจจัยด้านราคาและภาพลักษณ์ของบรรจุภัณฑ์อาหารประเภทรักษาสิ่งแวดล้อมมากกว่าบรรจุภัณฑ์อาหารทั่วไป โดยปัจจัยด้านคุณภาพ ภาพลักษณ์ และลักษณะภายนอกมีผลต่อการตัดสินใจซื้อบรรจุภัณฑ์อาหารประเภทรักษาสิ่งแวดล้อมในทิศทางบวกทั้งหมด ซึ่งสามารถอธิบายการตัดสินใจซื้อได้ร้อยละ 41.6 ผู้ประกอบการธุรกิจบรรจุภัณฑ์อาหารรักษาสิ่งแวดล้อมควรพัฒนารูปแบบบรรจุภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย สีสวยงามน่าเลือกซื้อ
ผลจากการศึกษาพบว่าเพศและกลุ่มอาชีพมีค่าเฉลี่ยในการตัดสินใจซื้อบรรจุภัณฑ์อาหารประเภทรักษาสิ่งแวดล้อมแตกต่างกัน เพศชายตัดสินใจซื้อน้อยกว่าเพศหญิง ผู้ที่เป็นข้าราชการและผู้ที่ประกอบธุรกิจส่วนตัวตัดสินใจซื้อมากกว่าพนักงานบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ กลุ่มตัว
Full Text : Download! |
||
Center of Academic Resource
Institute of Technology 1771/1, E Building, Fl. 2,
Pattanakarn Rd, Suan Luang, Bangkok, 10250