fieldjournalid
![]() | บทความวิจัย (EEM) 2016 |
1. | ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อรถยนต์ของพนักงาน บริษัท อีซูซุเอ็นยิ่นแมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : ภัทราภร เฮงศิริ, ธันยมัย เจียรสกุล | ||
สารนิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อ
พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อรถยนต์ของพนักงานบริษัท อีซูซุเอ็นยิ่นแมนูแฟค
เจอริ่ง (ประเทศไทย) กลุ่มตัวอย่างได้แก่ พนักงานบริษัท อีซูซุเอ็นยิ่นแมนู
แฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำนวน 338 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็น
แบบสอบถามแบบมาตราส่วน ประมาณค่ามีความเชื่อมั่นทั้งฉบับ 0.853
ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของพนักงาน
เรียงลำดับตามความสำคัญ คือ ผลิตภัณฑ์ ช่องทางจัดจำหน่าย ราคา และ
การส่งเสริมการตลาด ผลการศึกษาทดสอบสมมติฐาน พบว่า ปัจจัยส่วน
ประสมทางการตลาด ด้านราคาในการซื้อรถยนต์ และด้านส่งเสริมการตลาด
มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ของพนักงานบริษัท อย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r) มีค่าเท่ากับ
0.13 โดยมีความสัมพันธ์กันทิศทางบวกในระดับต่ำ
Full Text : Download! |
||
2. | ปัจจัยแรงจูงใจในการปฏิบัติงานที่มีผลต่อประสิทธิผลในการปฏิบัติงานของพนักงานขายบริษัทแห่งหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : ชญาพรรณ โพธิ์วัฒนกวิน, ธันยมัย เจียรสกุล | ||
การศึกษาวิจัย เรื่อง ปัจจัยแรงจูงใจที่มีผลต่อประสิทธิผลของพนักงานขาย บริษัทแห่งหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยแรงจูงใจในการปฏิบัติงานที่ส่งผลต่อประสิทธิผลในการปฏิบัติงานของพนักงานขาย บริษัทแห่งหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม การศึกษาวิจัยในครั้งได้ศึกษาการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) แบบเชิงสารวจ (Survey Research) โดยศึกษาข้อมูลจากการใช้แบบสอบถาม กลุ่มประชากรตัวอย่างคือ พนักงานขายของบริษัทแห่งหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ทั้งสิ้น 417 ตัวอย่าง การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณา ประกอบด้วยการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สาหรับการวิเคราะห์ข้อมูลสถิติเชิงอนุมาน ประกอบด้วย การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis)
ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยแรงจูงใจในการปฏิบัติงานที่ส่งผลต่อประสิทธิผลในการปฏิบัติงานของพนักงานขาย ด้านแผนการขายและการสนับสนุนการขาย และด้านความสาเร็จในการทางานมีผลกับประสิทธิผลในการปฏิบัติงานของพนักงานขายอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
Full Text : Download! |
||
3. | การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับความสุขในการทำงานของพนักงานบริษัท ABC [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : ธันยมัย เจียรสกุล, ลิตา จิตพิทักษ์ | ||
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับความสุขในการทางานของพนักงานบริษัท ABC กลุ่มตัวอย่าง จานวน 115 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ
ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสาคัญระดับเห็นด้วยกับปัจจัยด้านการปฏิบัติงานในด้านต่างๆ ดังนี้ ด้านความรับผิดชอบ ด้านความสาเร็จในงาน ด้านการได้รับการยอมรับนับถือ ด้านลักษณะงานที่ทา ด้านความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ด้านสภาพแวดล้อมในการทางาน ด้านการปกครองบังคับบัญชา อย่างไรก็ดี ผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึกเฉยๆ กับปัจจัยการปฏิบัติงาน ด้านโอกาสและความก้าวหน้าในงาน ด้านนโยบายและการบริหาร และด้านเงินเดือนสวัสดิการ
ส่วนการให้ความสาคัญกับระดับความสุขในการทางานพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสาคัญระดับเห็นด้วยกับหัวข้อ ท่านมีเพื่อนร่วมงานที่ดีและปรารถนาดีต่อกัน ท่านพอใจกับสภาพแวดล้อมในการทางาน ท่านรู้สึกรักและผูกพันกับงานที่ท่านทา ท่านรู้สึกเพลิดเพลินและสนุกกับงานที่ทา อย่างไรก็ดี ผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึกเฉยๆ กับหัวข้อท่านมีความสุขกับการงานที่ท่านทาอยู่ ท่านมีกิจกรรมให้ทาอยู่เสมอและไม่รู้สึกเบื่อ ท่านมีความรู้สึกว่าได้รับการกระตุ้นและเสริม พลังในการทางาน แสดงให้เห็นได้ว่าพนักงานส่วนใหญ่ไม่รู้สึกว่ามีความสุขกับการทางานเท่าที่ควร
ปัจจัยจูงใจและปัจจัยค้าจุนมีอิทธิพลต่อการผันแปรของระดับความสุขในการทางานที่ร้อยละ 58.5 โดยปัจจัยจูงใจส่งผลมากกว่าปัจจัยค้าจุน
Full Text : Download! |
||
4. | ปัจจัยที่มีผลต่อความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานในธุรกิจยานยนต์ กรณีศึกษาเฉพาะบริษัท ABC [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : บุปผา กำไรวงศ์, ธันยมัย เจียรสกุล | ||
การวิจัยมีจุดมุ่งหมายที่จะศึกษาปัจจัยที่จะส่งผลต่อความผูกพันของพนักงานต่อองค์กร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าคือพนักงานในบริษัท ABC จานวน 338 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ในส่วนของการประมวลผลการวิจัยได้ใช้สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุ
ผลการวิจัยพบว่า ระดับความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรอยู่ในระดับสูง โดยปัจจัยสุขอนามัยสภาพแวดล้อมการทางาน ซึ่งรวมถึงประเด็นด้านนโยบายบริหาร เพื่อนร่วมงาน ชีวิตส่วนตัวและสถานภาพส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรของพนักงาน ในส่วนของปัจจัยจูงใจ ซึ่งรวมถึงประเด็นด้านความสาเร็จ การได้รับการยอมรับ ลักษณะของงาน และการเจริญเติบโตมีผลต่อความผูกพันต่อองค์กร
Full Text : Download! |
||
5. | การศึกษาความเป็นไปได้ของการขยายธุรกิจการผลิตก๋วยเตี๋ยวเส้นสดตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิต กรณีศึกษา บริษัท เอบีซี จากัด [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : ธาวัน เพ็ชรล่อเหลียน, ธันยมัย เจียรสกุล | ||
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนขยายธุรกิจในธุรกิจการผลิตก๋วยเตี๋ยวเส้นสดตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตของ บริษัท เอบีซี จากัด ผ่านการศึกษา 4 ด้าน คือ ด้านการตลาด ด้านเทคนิค ด้านการบริหาร และด้านการเงิน รวมทั้งวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อการดาเนินธุรกิจ และกาหนดแผนฉุกเฉินรองรับความเสี่ยงนั้น
ผลการศึกษาพบว่า โครงการมีความเป็นไปได้ด้านการตลาด เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าทางการตลาดสูง บริษัทมีความได้เปรียบจากการใช้ทรัพยากรในธุรกิจเดิมเกื้อหนุนธุรกิจใหม่ได้ และตลาดเริ่มตระหนักถึงความปลอดภัยในสินค้า ด้านเทคนิคมีการออกแบบสถานที่ตั้งโครงการ เทคโนโลยีการผลิต และกาลังการผลิตที่เหมาะสม ด้านการบริหารมีการวางแผนกาลังคนที่เหมาะสมและสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถเหมาะสมกับงาน และด้านการเงินมีความคุ้มค่าในการลงทุน โดยใช้เงินลงทุนทั้งหมดจากกระแสเงินสดส่วนเกินจากการดาเนินงานรวม 109 ล้านบาท แบ่งออกเป็นเงินลงทุนในส่วนของทรัพย์สินถาวร 107 ล้านบาท และเงินทุนหมุนเวียน 2 ล้านบาท ซึ่งเมื่อคานวณโดยใช้อัตราคิดลดที่ร้อยละ 3.75 เนื่องจากเป็นค่าเสียโอกาสในการลงทุน ภายในระยะเวลาโครงการ 10 ปี พบว่า โครงการมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิเป็นบวกเท่ากับ 43,476,049 บาท อัตราผลตอบแทนภายในของโครงการเท่ากับร้อยละ 6.3 และระยะเวลาคืนทุนที่ 7.4 ปี ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการลงทุนของบริษัท นอกจากนี้จากผลการศึกษาวิเคราะห์ความไวของโครงการพบว่า การเปลี่ยนแปลงของปริมาณขายส่งผลต่อความคุ้มค่าของโครงการมากกว่าการเปลี่ยนแปลงของต้นทุน ดังนั้นการบริหารจัดการทางการตลาดให้มีปริมาณขายตามที่ประมาณการไว้ จึงมีความสาคัญต่อการลดความเสี่ยงของอัตราผลตอบแทนการลงทุนที่อาจต่ากว่าเกณฑ์การตัดสินใจลงทุนได้
Full Text : Download! |
||
6. | Restructuring for After Sales Services Unit a case study of Alpha Company Limited [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : Chayaphat Aurchaikarn, Rachata Rungtrakulchai | ||
The purpose of this study is to conduct major performance turnover of After Sales Service unit through restructuring exercise. This study aims to build an interface between theory and implementation, tools and techniques that relevant on how restructuring can be conduct successfully. Upon sufficiently understood the concept and every possible aspects of restructuring to conduct on outdated system and represent a more effective working system to operate more quickly, saving costs, improving efficiency and delivering better service, the exercise took place over a year and the results were recorded from methodology used to the outcome of such practices. The learning achievement of this study was the successful change from decelerating operating performance unit to well-recognized with high capability unit and fit with the vision of the future state.
Full Text : Download! |
||
7. | การพัฒนาสมรรถนะที่จำเป็นของช่างเทคนิคในการผลิต Jig & Fixture ประกอบชิ้นส่วน ในอุตสาหกรรมยานยนต์ [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : ประยนต์ ปาสกิต, วุฒิ สุขเจริญ | ||
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบสมรรถนะที่จาเป็นและสมรรถนะพื้นฐานของช่างเทคนิคในการผลิต Jig & Fixture ประกอบชิ้นส่วนยานยนต์และนาผลลัพธ์ที่ได้ไปกาหนดแนวทางในการฝึกอบรม
การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสารวจโดยใช้แบบสอบถามในการสารวจช่างเทคนิคที่มีประสบการณ์ การสุ่มตัวอย่างในครั้งนี้เป็นแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็น (Non-Probability Sampling) และเลือกหน่วยตัวอย่างแบบใช้วิจารณญาณ (Purposive Sampling) ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ กลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นระดับหัวหน้างาน ระดับ Supervisor ระดับผู้ช่วยผู้จัดการ ระดับผู้จัดการ ระดับผู้บริหารระดับสูง ของสถานประกอบการที่รับจ้างผลิต Jig & Fixture และสถานประกอบการที่มีการผลิต Jig & Fixture สาหรับประกอบชิ้นส่วน ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ใช้สถิติเชิงพรรณนาวิเคราะห์ปัจจัยส่วนบุคคล ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามใช้ ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเพื่ออธิบายลักษณะของข้อมูล และใช้สถิติเชิงอนุมาน (Inference Statistics) เปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลกับสมรรถนะที่จาเป็นและสมรรถนะพื้นฐาน ใช้การวิเคราะห์ค่า T-test ในการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของตัวแปร2ตัวที่เป็นอิสระต่อกัน (Independent Samples T-test) และใช้ Paired Simple Test ในการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของตัวแปร 2 ตัว ที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน เพื่อหาค่าเฉลี่ยก่อนและหลังที่กลุ่มตัวอย่างจะเริ่มทางาน ผลการวิจัยในครั้งนี้พบว่าช่างเทคนิคสายปฏิบัติการกับช่างเทคนิคสายวิศวกรว่ามีความรู้หรือสมรรถนะในด้านต่างๆ ทั้งก่อนและหลังการทางานแตกต่างกัน ผลการวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างก่อนเข้าทางานในสายงานกับหลังทางานมีประสบการณ์ในสายงาน ว่ามีความรู้หรือสมรรถนะในด้านต่างๆ ทั้งก่อนและหลังการทางานสรุปผลที่ไ
Full Text : Download! |
||
8. | การศึกษาการนำการบริการแบบญี่ปุ่น OMOTENASHI มาพัฒนาการบริการในประเทศไทย [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : วุฒิ สุขเจริญ, กานต์ อึ้งวิฑูรสถิตย์ | ||
การศึกษาค้นคว้านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาจุดอ่อนและจุดแข็งของการบริการของไทยและการบริการของญี่ปุ่นแบบ OMOTENASHI ในมุมมองของชาวญี่ปุ่นที่อาศัยในกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร 10 คน โดยมีเครื่องมือ ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลปฐมภูมิของการศึกษาเป็นแบบสอบถาม โดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบง่าย
ผลการศึกษาพบว่า ชาวญี่ปุ่นมองจุดอ่อนของการบริการของไทย คือ ความไม่ละเอียดเรียบร้อยในการให้บริการ ความแตกต่างของคุณภาพจากบุคลากร และ การแสดงออกที่ไม่สุภาพ ในส่วนของจุดแข็งของการบริการของไทย คือความยืดหยุ่นในการให้บริการและความเป็นมิตร อีกด้าน ผลการศึกษาถึงจุดอ่อนและจุดแข็งของการบริการของญี่ปุ่นแบบ OMOTENASHI พบว่า พบจุดอ่อนคือ การให้บริการที่ล่วงล้้าหรือมากเกินไป และการขาดความยืดหยุ่น ในส่วนของจุดแข็ง ผู้ศึกษาพบว่าการให้บริการของญี่ปุ่นมีจุดแข็งคือการให้บริการด้วยจิตใจบริการ และการสร้างมาตรฐานการบริการ เมื่อน้าจุดแข็งของการบริการของญี่ปุ่น มาปรับเข้ากับจุดแข็ง และแก้ไขจุดอ่อนของการบริการของไทย
ผู้ศึกษาว่า การบริการของไทยควรเริ่มต้นจากการปลูกฝังจิตใจบริการ ผู้บริหารจะต้องใส่ใจพนักงานผู้ให้บริการ และน้าแนวการบริการมาสร้างออกเป็นคู่มือการบริการที่ชัดเจนเหมือนของญี่ปุ่น และมีการจัดการเรื่องของการอบรมพนักงานอยู่เสมอ อีกทั้งการสร้างคู่มือการบริการ ก็ไม่ควรก้าหนดกรอบความคิดความสามารถในการบริการของคนไทยเสียเกินไป ควรท้าให้คนไทยเข้าใจและมีอิสระในการให้บริการจากใจของผู้ให้บริการทั้งนี้เพื่อเติมเต็มการบริการให้มีคุณภาพแบบญี่ปุ่น และรักษาความยืดหยุ่นของบริการไทยเพื่อตอบสนองความต้องการที่ไม่เหมือนกันของผู้ได้รับการบริการแต่ละคน
Full Text : Download! |
||
9. | การศึกษาปัจจัยทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกใช้ Application ที่เป็นระบบ Cloud Computing ในบุคคลทั่วไป บน Smart Phone ในเขตจังหวัดกรุงเทพมหานคร [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : สังข์ กาญจนาวดี, รชตะ รุ่งตระกูลชัย | ||
การศึกษาเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกใช้ Application ที่เป็นระบบ Cloud Computing ในบุลคลทั่วไป บน Smart Phone ในเขตจังหวัดกรุงเทพมหานคร
การศึกษาใช้แบบสอบถามเพื่อการศึกษาปัจจัยทางการตลาด โดยสถานที่เก็บข้อมูล คือ ห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง ศูนย์การค้าฟอร์จูน และข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ส่วนการวิเคราะห์ใช้สถิติเชิงพรรณนา ส่วนการวิเคราะห์ปัจจัยในการตัดสินใจใช้ระบบ Cloud Computing โดยใช้หลักของ Likert Scale โดยแบ่งเป็น 5 ระดับ คือ มีอิทธิพล มากที่สุด (4.50-5.00) มาก (3.50-4.99) ปานกลาง (2.50-3.49) น้อย (1.50-2.49) และ น้อยที่สุด (1.00-1.49) ส่วนการวิเคราะห์การวิเคราะห์ค่าโดย (One Way ANOVA)
ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ มีผลสาคัญต่อการตัดสินใจใช้ Application ที่เป็นระบบ Cloud Computing ในบุลคลทั่วไป บน Smart Phone ซึ่งพิจารณาตามลาดับความสาคัญเป็นรายข้อจากมากไปน้อย
Full Text : Download! |
||
10. | การศึกษาปัจจัยทางการตลาดที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเล่นแบดมินตันในเขตกรุงเทพมหานคร [แสดงบทคัดย่อ] [ซ่อนบทคัดย่อ] | |
ผู้แต่ง : กฤติชัย ยศไพบูลย์, รชตะ รุ่งตระกูลชัย | ||
การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการสนามแบดมินตันในเขตกรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาพฤติกรรมการตัดสินใจและความพึงพอใจในการเลือกใช้บริการสนามแบดมินตัน รวมไปถึงศึกษาถึงส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการสนามแบดมินตัน และแนวทางการพัฒนาการให้บริการของสนามแบดมินตันในเขตกรุงเทพมหานคร
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสารวจ โดยการรวบรวมแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง ผู้ใช้บริการสนามแบดมินตันในเขตกรุงเทพมหานครจานวน 400 คน จากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างการเลือกใช้บริการสนามแบดมินตัน การวิเคราะห์ผลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ และการวิเคราะห์ถดถอยแบบพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ที่ระดับนัยสาคัญทางสถิติที่ 0.05 ประมวลผลข้อมูลจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูปทางสถิติ หรือ SPSS
ผลการวิจัยพบว่าส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้บริการสนามแบดมินตันเพศชายมากกว่าเพศหญิง มีอายุระหว่าง 21-40 ปี มีการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี เป็นพนักงานบริษัทเอกชน รายได้เฉลี่ยต่อเดือน มากว่า 30,000 บาท สถานภาพของผู้มารับบริการคือผู้มาใช้บริการ ผลการศึกษาพฤติกรรมการเล่นแบดมินตัน พบว่า สนามพื้นยางสังเคราะห์แบบถาวร ไฟสนามแบบแผงข้างเป็นที่ชอบในการเล่นแบดมินตันในระดับมาก และสนามแบดมินตันที่ใช้ออกกาลังกายเป็นประจาที่พบมากที่สุดคือสนามพื้นยางสังเคราะห์แบบถาวรในระดับมาก
ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเล่นแบดมินตันในเขตกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านที่ตั้งและช่องทางจัดจาหน่าย และด้านบรรยากาศโดยรวม ตามลาดับ
Full Text : Download! |
||
Center of Academic Resource
Institute of Technology 1771/1, E Building, Fl. 2,
Pattanakarn Rd, Suan Luang, Bangkok, 10250